Blogs
(ตอน 3) ใครอยากไปเรียนออสฯ พลาดไม่ได้เลยค่ะ live สดจากออสเตรเลีย กับน้องนัท (บัณฑิตเกียรตินิยมเหรียญทอง)
(ต่อจากตอน 2)
แล้วงานเขียนต่างๆ หลังจากที่เรียนจบไป 6 เดือน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดเลยเวลาเขียนพัฒนาขึ้นเยอะมากๆ คือจากบางที ที่ศัพท์ที่ใช้มันค่อนข้างเบสิคมากๆ หลังจาก 6 เดือนที่ผ่านไป grammar ก็เริ่มไม่มีปัญหา จนเริ่มเป็นดีเทลที่เล็กแล้ว จนบางครั้งเพื่อนบอกว่าไม่ต้องแก้แล้ว ทั้งๆ ที่หนูถามว่าแล้วถ้าเป็น you เขียน you จะเขียนเป็นแบบไหนช่วยบอกหน่อยได้ไหม เค้าก็บอก เอ่อนี่ตอนนี้ สมมุติว่าเป็นจดหมาย คือจดหมายนี้ค่อนข้างครบแล้วนะ คือ you สามารถเขียนจดหมายแบบว่าสมัครงานเองได้แล้วอะไรงี้ ค่อนข้างมีเนื้อหาที่ดีแล้ว
ซึ่งการที่ได้มาอยู่ student accommodation ทุก skills ที่ฝึกถือว่าประสบความสำเร็จในระดับนึง มันก็ดีในระดับหนึ่งแล้วอะไรอย่างงี้ อันนี้เป็น tips นึงที่ค่อนข้างมีประโยชน์ หนูชอบชวนเพื่อนออกไปแบบว่าเที่ยวด้วยกัน คือถ้ามีตังค์นะ ถ้าเป็นช่วงที่มีตังค์ก็จะชวนเพื่อนออกไปเที่ยวด้วยกัน เพราะว่าไหนๆ ก็มาถึงออสแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาอีกไหม เราก็อยากเห็นให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราเห็นได้
เพราะฉะนั้นการออกไปเที่ยวกับเพื่อน conversation ต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันกับที่หอก็จะเปลี่ยนไปแระ เพราะมันก็จะเป็นแบบที่ใช้ในชีวิตจริง ออกไปคุยในภาษาที่ใช้ในชีวิตจริงๆ ว่าแบบไปเที่ยวนี่ ไปเที่ยวนี่ ดูนั่นดูนี่ วางแผนเที่ยว เวลาที่จะเขียนแผนเที่ยวก็ขอเขียนเองอีก เราขอเขียนนะ ก็เขียนเราก็ได้อีก แล้วก็พอไปเที่ยวจริงๆ ก็ฟังพูดก็มาหมดเลย แล้วก็ยังได้เที่ยวด้วย แต่ถ้าเวลาที่ตังค์ไม่มีตังค์หมดทำไง ก็ชวนเพื่อนดูหนังง่ายๆ เลยพี่ ว่าดูหนังกันไหม เพราะว่า Atira จะมีโรงหนังให้ด้วย มี apple TV มี Neflix หมดเลย ก็ชวนเพื่อนดูหนัง อันนี้เป็นไฟล์ทบังคับ เพราะว่าฝรั่งไม่มีใครชอบดูหนังเปิดซับ เป็นซับอังกฤษก็ไม่โอเค ทุกคนก็จะพูดว่าเออ มันรำคาญตามันรกตาอะไรงี้ แรกๆ ก็ไม่รู้เรื่อง ดูหนังแบบไม่รู้เรื่อง ก็งงๆ ว่าแบบ เอ เรื่องนี้มันคุยยังไงน่า แล้วก็พอดูไปดูมามันเหมือนเป็นไฟล์ทบังคับอ่ะให้ดูแบบไม่มีซับ
แล้วตอนนี้คือดีใจมากที่ตอนนั้นตามใจเพื่อนแบบโอเคที่จะดูแบบไม่มีซับ ทุกวันนี้ติดดูแบบไม่มีซับไปแล้ว แล้วก็ฟังรู้เรื่องแล้ว จำได้ว่าเรื่องแรกที่ฟังรู้เรื่องคือแบบดีใจมาก ดีใจจริงๆ คือต่อให้เป็น harry potter ที่ดูแบบเป็นซับไทย มาหลายรอบแล้ว ต่อให้เป็นเสียงภาษาอังกฤษ แล้วมันก็ค่อนข้างฟังยากด้วยความที่มันเป็น British หลังๆ มานั่งฟังแล้วพูดกับเพื่อนว่า เออนี่เค้าพูดประโยคนี้ใช่ไหม มานั่ง copy แบบภาษาอังกฤษแบบ British กับแข่งกันใครจะได้ accent มากกว่ากัน ซึ่งมันก็เป็นการฝึกภาษาอังกฤษที่มันไม่จำเป็นต้องลงทุนเงินอะไรด้วย ค่อนข้างมีประโยชน์มากๆ
แล้วก็อย่างตอนเย็นก็จะชวนเค้าทำกับข้าวกินด้วยกันแชร์กัน ก็จะประหยัดลงไปได้เยอะ ประหยัดค่าข้าวที่ออกไปกินข้างนอกแถมยังได้ฝึกภาษาอังกฤษไปในตัวด้วยค่ะ หนูสามารถดึงทุกอย่างที่มันอยู่ในชีวิตประจำวันที่มันอยู่กับหนูตั้งแต่เช้าจรดเย็นยันก่อนถึงเวลาหนูจะนอนเลยอ่ะ บางทีเพื่อนก็มานั่งเล่นด้วยกันที่ห้อง เล่นเกมส์กัน มานั่งอ่านหนังสือ บางทีชีวิตอ่านหนังสือมันก็น่าเบื่อเนอะเราก็ไม่ได้อ่านหนังสืออย่างเดียวนะ เราจะนั่งทำนั่นทำนี่ด้วกับ บางทีก็ถักนิตติ้ง บางทีก็เล่นดนตรี เพื่อนก็จะสอนแลกเปลี่ยนอะไรมากมายค่อนข้างเป็นอะไรที่ทำให้หนูพัฒนาภาษาอังกฤษได้มากกว่าที่หนูมอง จากห้องเรียน
ห้องเรียนมันก็เหมือนเราเข้าไปเรียนในห้องเรียนในประเทศเรานี่แหละแต่ว่าแค่ว่าเราได้เจอกับฝรั่งเลย ได้เจอคนที่ไม่ได้พูดภาษาเดียวกับเรานะ ซึ่งถ้าเราบวกกันทั้งหมดเลย 24 ชั่วโมงที่เราใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน ภาษาอังกฤษเราก็จะพัฒนาได้ค่อนข้างเร็วมากจริงๆ จากตอนแรกหนูคิดว่าหนูอยู่ไทยภาษาอังกฤษก็ดีในระดับนึงนะ พอมาอยู่ออสต้องมาพูดจริงๆ 24 ชั่วโมงมันค่อนข้างไปได้ดีกว่าเยอะมากๆ
York: ถือว่าไปออสครั้งนี้คุ้มนะเนี้ย คุ้มมาก แล้วที่ Brisbane น่ะค่ะพวกค่าครองชีพค่าใช้จ่ายเป็นไงบ้างคะ
Nutty: โอเค อย่างที่หนูบอกว่าค่าที่พัก หนักๆ เลยก็ค่าที่พัก ของหนูจ่ายค่าที่พัก 195 เหรียญ ถ้าไปถึงแพงก็มีนะ 300-400 เหรียญ แต่ว่าถูกๆ เลยก็ร้อยกว่าเหรียญ พอเรามามองค่ากิน ค่ากินคือทางบ้านคือแรกๆ หนูไม่ได้ทำงานด้วย ทางบ้านก็ส่งให้หนูประมาณ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าต้องใช้ประมาณไหนดีนะ เหมือนก็ต้องเก็บเพื่อที่อยากไปเที่ยวด้วยงี้ ทางบ้านก็ส่งให้ประมาณ 300 เหรียญต่อ week 300 เหรียญต่อ week คือใช้ชีวิตได้ค่อนข้างสบายเลยค่ะ
แต่ก็ไม่ได้ขนาดว่าใช้ฟุ่มเฟือยเพราะว่าต้องการเก็บเงินที่จะไปเที่ยวด้วย เพราะว่าแต่ละทริปก็ค่อนข้างแพง แล้วก็ถ้าดูจากการกินเฉยๆ นะคะ ถ้าไปซื้อของในซุปเปอร์อะไรงี้ มันก็ตกประมาณ 50 เหรียญต่อ week ประมาณ 50 เหรียญนี่คือหนูซื้อมาแบบจัดเต็มแล้วอ่ะ หนูกวาดมาทุกอย่างแล้ว เพราะว่าค่าของกินถ้าเราออกไปกินข้างนอกคิดง่ายๆ คือมื้อเย็นประมาณ 20 เหรียญ ถ้าเราคูณง่ายๆ 20 ก็คือ 400 บาทต่อมื้อแล้ว แต่ถ้าเราเปลี่ยนเป็นออกไปกินกับเพื่อนบ้างบางมื้อ บางมื้อทำเอง อย่างที่หนูบอกชวนเพื่อนมานั่งทำด้วยกัน แชร์เงินกัน อันนั้นออกไป grocery shop แค่ 50 เหรียญต่อ week ค่อนข้างประหยัดมาก
เหมือนหนูใช้ mix กันน่ะพี่ ซึ่งหนูก็อยากออกไปกินข้างนอกบ้างไม่ได้อยากจะทำกินเองทุกมื้อเหมือนกัน และในเวลาเดียวกันหนูก็ต้องการประหยัดเงินก็ทำอาหารกินเองด้วย ซึ่งถ้าคนไทยหลายๆ คนที่กังวลว่าฉันติดรสไทยมากเลย ฉันต้องตายแน่เลยถ้าฉันมาออส หนูค่อนข้างกินอาหารไทยเกือบทุก week เรียกได้ว่าทุกวันกินอาหารไทยเลยค่ะ คือหนูกินอาหารไทยอย่างน้อย week นึงไม่ต่ำกว่า 3 วันแน่ๆ บางทีก็ทำเอง บางทีก็ไปร้าน หนูโฆษณาให้เค้าเลยดีกว่า Spicy Am Thai รสชาติดีมาก ถ้ามาถึง Brisbane อย่าลืมไปลองนะคะ คือแบบรสที่บ้านเลยอ่ะ เผ็ดเปรี้ยวได้ใจมาก แต่ก็คือที่พูดเพราะไม่อยากให้กังวลว่า คิดถึงอาหารไทยแล้วจะเครียด
เพราะว่าออสเตรเลียมีคนไทยอยู่เยอะมากในทุกๆ ที่ ทุกเมือง บางคนจะเครียดว่าฉันไปออสแล้วจะเจอคนไทยเยอะไหม บางทีเจอคนไทยก็เป็นข้อดีนะคะมันก็รู้สึกอบอุ่นว่าแบบเจอคนชาติเดียวกัน อย่างที่หนูบอกมันไม่ได้เป็นปัญหาหรืออุปสรรคในการพัฒนาภาษาอังกฤษเลย เพราะถึงเวลาเราก็เอาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่ใช้ภาษาอังกฤษซะ มันก็พัฒนาภาษาอังกฤษได้เอง
แล้วก็ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ถ้าอย่างค่า Bus จริงๆ หนูค่อนข้างเดินเยอะมาก หนูเดินเยอะมากจริงๆ แต่ว่าพวกรถขนส่งพวก public transportation ที่นี่ค่อนข้างดีมากๆ แต่ถ้าเทียบกับบ้านเราราคาก็จะแพงนิดนึงเพราะว่า Tap ครั้งนึงค่าบัสก็ประมาณ 3.5 เหรียญแล้วค่ะ แต่ว่าทิปคือถ้าเราจะไปไหนในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็รีบไป Tap บัสต่อไปเลยค่ะ ก็ยังอยุ่ใน 3.5 เหรียญ แล้วก็ค่า Train ก็จะประมาณค่า Bus ค่า Trainค่อนข้างใกล้เคียงกันถ้าจะไปที่ไหนไกลๆ และมีหลายๆ คนหนูก็จะใช้ uber บ้าง 20 เหรียญอะไรงี้ หรือว่า DD อะไรงี้ค่ะ
ซึ่งค่าใช้จ่ายหลักๆ น่าจะลงไปกับค่าที่พัก ส่วนค่ากินก็อย่างที่หนูบอกไป เพราะฉะนั้นเงินที่ใช้จากที่นี่มองว่าเยอะไหม มันก็เยอะแต่ว่าพอแรกๆ ที่มาคือคูณเงินตลอดเวลาเลยอ่ะ คูณจนเครียดน่ะพี่ว่าแบบทำไมใช้ตังค์เยอะกับการกินจังเลยเนี้ย หรือว่าใช้ตังเยอะกับที่พักจัง จนหลังๆ เลิกคูณแระไม่คูณอีกต่อไปแระ เพราะว่าพอตอนไปทำงานมันก็จะได้เงินเป็นในหน่วยที่มันค่อนข้างโอเคสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพราะว่าอย่างตอนที่หนูไปหางานทำ หนูเล่าเรื่องหางานไปด้วยเลยก็ได้
คือตอนที่หนูไปหางานทำงานมันไม่ได้หายากขนาดนั้นอย่างที่หนูบอกไปตอนแรก คือมันค่อนข้างแล้วแต่ดวงเลยว่าที่ร้านหรือว่าที่ต่างๆ ต้องการคนไหม แล้วกล้าที่จะออกไปหางานทำไหมอะไรงี้ แล้วหนูเลือกงานร้านอาหาร เพราะมันค่อนข้างง่ายกับการที่เราไป drop resume คือเราสามารถที่จะไป drop resume ส่ง application online แต่หนูมองว่าถ้าเราเดินเข้าไป drop resume อย่างน้อยเราได้คุยกับเจ้าของร้าน เค้าอาจจะชอบเราแล้วบอกว่าเออคุณมาฝึกพรุ่งนี้ได้เลยงี้ หนูมองว่าหนูเดินเข้าไปเลยขอคุยกับเจ้าของร้านแล้วก็ drop resume หรือว่าขอคุยกับผู้จัดการร้านและก็ drop resume แล้วหลังจากหนูได้งานแล้ว หนูพูดได้ไหมเรื่องค่าแรงของร้าน หนูขอโทษนะคะ อันนี้ขอพูดตามตรง หนูขอโทษไว้ก่อน หนูไม่ได้มีเจตนาที่จะแบบว่า ว่าอะไร แค่อยากมาแชร์ประสบการณ์ที่รู้ คือร้านไทย ที่ร้านเป็นเจ้าของคนไทยเลย หรือร้านอาหารเอเชียที่เป็นเจ้าของจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อะไรแบบนี้ที่หนูเคยเห็นอ่ะ เงินที่เค้าให้มันค่อนข้างต่ำมากๆ แต่ว่าจะได้ชั่วโมงเยอะจากเค้าเพราะฉะนั้นเวลาทำงานกับเค้าเหมือนทำหลายชั่วโมงมาก 5 ชั่วโมง 6 ชั่วโมง แล้วเงินก็จะประมาณ 70 เหรียญ 80 เหรียญ จริงๆ คือค่อนข้างต่ำ ต่ำเลย เพราะว่าไม่สามารถที่จะทำแค่ที่เดียวแล้วจะพอใช้แน่ๆ
แต่ถ้าเราไปทำกับพวกร้านต่างชาติ ร้านออส หรือร้านที่เค้าแบบว่าไม่มีอะไรที่มันซิกแซกน่ะพี่ หนูไม่รู้จะใช้คำพูดอะไร ก็พยายามใช้คำที่ soft ที่สุดแล้ว ที่มันไม่ซิกแซกมาก อันนี้คือเงินที่หนูได้นะ เทียบกับคนที่เค้าทำ อย่างแย่สุดที่เจอของเพื่อนที่ร้านจีน 12 เหรียญ 13 เหรียญ นั่นคือแย่มากนั่นคือ you ต้องทำงานเท่าไรถึงจะได้ตังค์เท่านี้ แล้วเปรียบเทียบกับหนูคือทำร้านอาหารไทยเหมือนกันค่ะ แต่เจ้าของเป็นออสซี่
เพราะฉะนั้น หนูไปทำหน้าร้าน หนูก็ได้ฝึกภาษาแล้วนะคะ ไม่นั่งคุยกับลูกค้าจนเป็นแบบสนิทกันไปเลย เพราะลูกค้าประจำก็มีน่ะค่ะ เค้าก็จะแบบมาคุยด้วยถามสารทุกข์สุกดิบกันอะไรงี้ นี่คือฝึกภาษาอังกฤษได้ และยังได้ตังค์อีก เพราะว่าเงินที่ได้ใน weekday ได้ประมาณ 25 เหรียญ ส่วน weekend เค้าให้หนูประมาณ 30 เหรียญ นี่คือต่อชั่วโมง ซึ่งทำแค่ 3 ชั่วโมงต่อวัน คือมันธรรมดาคือจ่ายเยอะขนาดนี้ก็จะไม่ได้ทำเยอะขนาดนั้น ทำแค่ 3 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งร้านพวกนี้คือฝึกภาษาอังกฤษจากหน้าร้าน ไม่กดราคาแรงงาน คือมันเป็นอะไรที่ทำไม่ได้เยอะมาก แต่คุณได้เงินเยอะ คือเพื่อนได้ 70 เหรียญ เราได้ 90 เหรียญในวันเสาร์อย่างงี้ เราทำแค่ 3 ชั่วโมง เวลาที่เหลือเราก็สามารถ manage ตัวเองไปฝึกภาษาอังกฤษกับเพื่อนไปใช้เวลาใช้ชีวิตที่เราอยาก
เรามาถึงออสแล้วจะมานั่งทำงานอย่างเดียวมันก็ไม่ใช่อ่ะเนอะ เราก็อยากได้ประสบการณ์อื่นๆ เพราะถ้าแค่ทำงานหาตังค์ คือบางคนมันเป็นเรื่องสำคัญหนูเข้าใจนะคะ แต่ว่าสำหรับหนู หนูมีจุดหมายที่อยากพัฒนาภาษาอังกฤษ ถ้าหนูใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน หนูคงรู้สึกเสียใจมากตอนที่หนูกลับไทยไปแล้ว หนูไม่ได้ออกไปเห็นโลก หนูไม่ได้เห็นว่าออสเตรเลียเป็นยังไง กลับไทยไปใครถามหนูเป็นยังไงที่ออส อ่อ ฉันทำงานอยู่ฉันได้ตังค์ไรงี้มันก็คงไม่โอเค สุดท้ายที่หนูบอกสมมุติวันนั้นหนูได้ 90 เหรียญ วันนั้น week นึงอย่างน้อยหนูจะได้ 360 เหรียญ อย่างน้อยก็จ่ายค่าห้องได้แล้วนะคะ และยังไม่รวมไปทำงานอื่นๆ อีก เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายที่ออส ประโยชน์ที่ได้ก็คือทำงานได้เงินเยอะแล้วก็ค่าใช้จ่ายไม่ได้แรงพอมาเปรียบเทียบกับเงินที่ได้ มันไม่ได้แรงขนาดที่เราจะจ่ายไม่ได้อะไรงี้
York: ก็ถือว่าโอเคนะ คุ้มนะ ได้ฝึกภาษาได้ทำงาน ได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง ที่ตัวเองอยากทำ
Nutty: หนูได้เจอะไรหลายๆ อย่างดี หนูชอบ คือจริงๆ โควิด ก็ทำให้หนูรู้สึกแย่เหมือนกันนะ แต่ว่าหนูไม่รู้สึกเสียใจที่ได้มาเลย หนูรู้ว่าโควิดมันทำให้หนูรู้สึกแย่ตรงที่ หนูแพลนตัวเองว่าจะต้องกลับบ้าน หนูต้องการทำงานหลังจากนี้ หนูมีแพลนชีวิตไว้แล้วหนูคิดว่ากลับไปทำงานอย่างน้อยปีนึง สองปี แล้วเก็บตังค์เรียนต่อโท แล้วก็ไปหางานอีกรอบที่เป็นแบบ multi culture ที่เป็น organization ที่เป็นแบบ Global organization ซึ่งหนูอยากทำงานอะไรแบบนี้มากๆ เลย เพราะโควิดมันทำให้ จากที่หนูต้องได้กลับบ้านในเดือน 5 มันก็ต้องยืดออกไปอีก ซึ่งอันนี้ขอบคุณพี่เกลมาก ทางบ้านฝากขอบคุณด้วยค่ะ ที่พี่เกลช่วยเหลือเยอะมาก
ซึ่งแบบอันนี้ พี่เกลหนูพูดได้ใช่มะ บางครั้งหลายๆ คนมองว่า ฉันควรไปกับเอเจนซี่ไหน เพราะว่าอันนี้เป็นประเด็นนึง ที่เด็กไทยหลายๆ คนคุยกันตลอดเวลามาก ฉันควรไปกับเอเจนซี่ใหญ่ๆ หรือเปล่า หรือว่าฉันควรไปกับเอเจนซี่ไม่ใหญ่มาก แต่ว่าคือบางทีเอเจนซี่เล็กๆ อาจจะช่วยเหลือได้ง่ายกว่า เพราะว่าเค้าจะดูแลคุณได้ทั่วถึง ด้วยความที่ไม่ใช่บ.ใหญ่เว่อร์ ไรงี้ ซึ่ง York ทำให้หนูประทับใจอย่างนึงจริงๆ
คือ ที่หนูอยากขอบคุณมากๆ ก็ คือตัวหนูเอง ตอนแรกก็คิดอยู่เหมือนกันว่ายังไงดีนะ เพราะว่าเพื่อนหนูไป บ. ใหญ่ หนูไม่พูดแบรนด์อะไรทั้งนั้น แต่ว่าแม่หนูประทับใจตอนคุยกับพี่เกล พี่ปุ้มมากๆ แม่หนูเลยบอกว่าถ้าเราชอบเค้าแล้วและรู้สึกว่าเค้าค่อนข้างช่วยเหลือเราถึงเวลาจริงเราก็ลองดูว่าเค้าช่วยเหลือเราไหมเวลาที่เรามีปัญหา ซึ่ง York ช่วยจริงๆ ค่ะ คือหนูมีปัญหากับวีซ่าหนูหนักมาก วีซ่าหนูคือช่วงที่หนูจะกลับบ้านเดือน 5 ปรากฏว่าไฟล์ทบินต่าง ๆ เพราะว่าโควิด ไฟล์ทบินต่างๆ คือ มันไม่มีไฟล์ทบินกลับบ้านเลย ต่อให้เรารอสถานทูตก็ต้องไปซิดนีย์ แล้วต้องรอคิว ตอนนั้นรู้ว่าพังแระ กลับบ้านไม่ได้แระ ทำไงดี
สุดท้ายพี่เกลก็เลยช่วยไปหาข้อมูลว่าสมัครวีซ่าก่อน แล้วทีนี่พี่เกลก็บอกว่าลองสมัครวีซ่านักท่องเที่ยวไหม หรือวีซ่านักเรียนหาอะไรเรียน แต่ว่าวีซ่าท่องเที่ยวก็จะประหยัดตังค์กว่า แล้วทีนี่หนูก็ไปได้ยินจากครูว่ามันมีวีซ่าโควิดนะ ที่ไม่ต้องเสียตังค์ คือมัน 0 บาทเลย ซึ่งหนูก็เลยไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วไม่อยากเสียตังค์เพิ่มแล้ว มันก็ไม่ใช่ความผิดเราด้วยที่เราต้องมาติดอยู่ตรงนี้น่ะพี่ หนูก็เลยเลือกโควิดวีซ่า ทั้งๆ ที่ตอนนั้นพี่เกลก็ไม่รู้เลยว่า โควิดวีซ่าคืออะไร เพราะมันเป็นอันใหม่มากๆ ต่อให้ถามใครที่ home affair ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร ขนาดเป็นองค์กรที่เค้าออกเองเค้าก็งงเหมือนกัน ซึ่งพี่เกลก็ตามเรื่องให้ตลอดว่าเมื่อไรวีซ่าจะได้ เมื่อไรวีซ่าจะออก จนตอนท้ายเย้ Bridging Visa ออกมาแล้ว
พี่เกลก็ตามให้ จนแบบ คือพี่เกลตามให้ตั้งแต่เดือน 5 จนเดือนนี้ก็จะ 4 เดือนอยู่แล้วพี่เกลก็ยังตามให้อยู่ตลอดเค้าก็ไม่ได้ทิ้งเราน่ะค่ะ เพราะฉะนั้นหนูก็รู้สึกว่าบางครั้งปัญหาที่เราคิดกันว่าบ. ใหญ่ หรือบ.เล็ก เอเจนซี่ไหนที่ทำให้เราไปดีกว่าคือ หนูอยากแนะนำมากเลย York ค่ะ คือหนูคุยกับพี่เกลตลอดเวลาคือเค้า keep contact เราตลอดเวลาจริงๆ ว่า เรียนเป็นยังไงบ้าง ชีวิตเป็นยังไงบ้าง โอเคหรือเปล่า มีความสุขไหมที่นั่น หรือว่ามีอะไรให้ช่วยไหมอย่างงี้คือ พี่ค่อนข้างช่วยหนูตลอดเวลา ไม่เคยทิ้งนักเรียนคนไหนเลยค่ะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างประทับใจน่ะพี่ จริงๆ นะ ประทับใจมากๆ จนที่บ้านบอกว่าให้ซื้อของกลับไปฝาก York นะ อะไรงี้
จริงๆ ขอบคุณมากที่ช่วยเหลืออะไรงี้ คือหนูก็อยากให้ทุกคนที่กำลังดูอยู่ กำลังตัดสินใจเรื่องแบบนี้ คือหนูไม่ได้เบรม บ. ใหญ่นะ คือหนูไม่มีประสบการณ์กับ บ. ใหญ่ หนูไม่รู้ว่า บ. ใหญ่ หรือว่า บ. เล็กอื่นๆ หนูก็ไม่สามารถเคลมได้อีกว่า บ.เล็ก อื่นๆ จะช่วยได้ไหม แต่ว่าจากที่หนูไปกับ York คือเค้าก็ช่วย อะไรมันจะดีเท่ากับตอนที่เราเห็นว่าวิกฤตจริงๆ ที่มันเกิดขึ้นใช่ไหมคะ โควิด มันก็เป็นวิกฤตจริงๆ ที่เกิดขึ้น พี่ช่วยจริงๆ คือเค้าตามเราตลอด ต่อให้ตอนที่ไม่มีโควิดเค้าก็ทักมาว่า เป็นไงบ้างหอพักโอเคไหม ที่เรียนครูเป็นยังไง สังคมเป็นยังไง เพื่อนเป็นยังไง ไม่เคยทิ้งเลย อันนี้คือขอชื่นชมจริงๆ แบบพี่ทำงานด้วยใจมาก ขอบคุณมากค่ะ
York: ค่ะ ขอบคุณค่ะ โอเค ทีนี้ สุดท้ายแระเดี๋ยวให้น้องนัทฝากถึงเพื่อนๆ หน่อย คนที่อยากจะมาเรียนภาษาอังกฤษที่ออสเตรเลียอย่างงี้ค่ะ
Nutty: อ่อ โอเคได้ ก็คืออยากฝากทุกๆ คนน่ะค่ะ คือสิ่งที่หนูพูดไปทั้งหมดหนูก็ไม่รู้ว่าทุกคนจะ เหมือนจะไปโดนใจตรงไหนหรือเปล่า แต่ว่าสิ่งนึงที่อยากบอกก็คือ ถ้าเรามีโอกาส คือเรามีความพร้อมที่จะออกมาพัฒนาภาษาตัวเอง ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในโลกใบนี้ เพราะว่ามันค่อนข้าง พอเราออกมาในโลกกว้างจริงๆ เราจะรู้ว่าภาษาอังกฤษสำคัญมาก ทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้เป็นเหมือนชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะใน student accommodation ทำให้หนูรู้ว่าภาษาอังกฤษ ถ้าคุณพูดไม่ได้บางคนอาจจะมองว่าเพราะคุณไม่เก่งหรือเปล่า คุณไม่ฉลาดหรือเปล่า ทั้งๆ ที่คุณมีดี คุณฉลาด คุณ smart แต่ภาษาอังกฤษคุณไม่ได้
เพราะฉะนั้นลองออกมาพัฒนาภาษาอังกฤษตัวเองดูค่ะ มันเป็นอะไรที่ท้าทายแต่ว่าพอเราก้าวข้ามผ่านมาได้ เราก็จะรู้ว่า แนวทางต่อไปในการพัฒนาภาษาตัวเองเราจะฝึกยังไง เราจะไปพูดยังไง หลายๆ คนอาจจะประสบความสำเร็จในการฝึกที่ประเทศไทย ไม่จำเป็นต้องออกมา อันนี้หนูก็เห็นหลายคนนะ
บางคนคือการที่ได้มาใช้ 24 ชั่วโมงที่นี่ คุ้มค่ามากๆ มันไม่ได้แค่ภาษา มันได้เพื่อน มันได้ connection มันได้แนวทางในชีวิตในอนาคตว่าถ้าเราไปเรียนป.โท เราจะไปเรียนอะไรต่อนะ หรือว่าบางทีการมาเจอเพื่อนน่ะค่ะเราได้ connection ที่แบบ ถ้า you อยากทำงาน you สมัครการฝึกงาน internship อันนี้สิ เรามีแนะนำนะ อะไรต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ อะไรแบบนี้ค่ะ มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถหาได้จากการอยู่ที่บ้านเฉยๆ ในประเทศไทยของเรา เราออกมาเราเจออะไรหลายๆ อย่างมากจริงๆ เราโตขึ้น เราใช้ชีวิตกับตัวเอง เพราะว่าเราอยู่คนเดียวด้วย คือหลายๆ อย่าง มันทำให้หนูรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะได้มาออสเตรเลียจริงๆ
แล้วก็ สำคัญที่สุดคือ ที่เที่ยวที่นี่สวยมากค่ะ Australia East Coast อยากให้ทุกคนมาดู อย่างเช่น Whitsunday ถ้ามาถึงต้องไปดูให้ได้ Cairns อะไรอย่างงี้ มาดูให้ได้ ดูสัตว์ที่เราไม่เคยเห็นในบ้านของเรา หนู recommend ทุกอย่างสวยแล้วก็ประทับใจ การเรียนการสอนก็คือต่อให้ที่หนูบอกไปว่า ออสเตรเลียอาจจะมีสิ่งนึงที่คุณตะขิดตะขวงใจว่าเค้าจะใช้ภาษาอังกฤษแบบออสซี่หรือเปล่านะตอนเรียน ไม่เลยค่ะ คนที่สอนก็คือ British English, American English แต่ก็แล้วแต่โรงเรียนอีก ต้องไปสืบเอาเองนะ
แล้วก็หนูมองว่าถ้าเราได้มาถึงที่นี่แล้ว สิ่งนึงที่อยากฝากจริงๆ หลายๆ คน ก็คือคุณรู้ตัวว่าคุณไม่ได้มาจากประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ แล้วก็พอคุณมาถึงที่นี่แล้วอยากให้ Take Advantage คือใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุดค่ะ ของการที่คุณจ่ายเงินทั้งหมดมาอยู่ที่นี่ ใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด อย่างน้อยกลับมาบ้านคุณต้องได้ภาษาอังกฤษ กลับไปคุณต้องพูดได้ กลับไปคุณต้องเขียนเป็น คุณต้องฟังรู้เรื่อง คุณต้องการรู้เรื่องแล้วก็ อย่ากลับไปแล้วก็เสียดายว่าไม่ได้ทำอะไร อะไรงี้
อ่านบทสัมภาษณ์ตอน 4 ต่อได้ที่ link ด้านล่างนี้เลยนะคะ