Blogs
บุกร้านโจ๊กกองปราบสาขา 2 ของน้องฟลุ๊ค ศิษย์เก่า B.H.M.S. กลับมาก็เปิดร้านใหม่ของตัวเองเลยค่า
วันนี้แอดจะพาน้องๆ ไปชมร้านโจ๊กกองปราบ สาขา 2 ร้านโจ๊กชื่อดังของน้องฟลุ๊ค หนุ่มหล่อ ศิษย์เก่าสถาบัน B.H.M.S. ที่เพิ่งเรียนจบการโรงแรมมา ทันทีที่กลับจากสวิตเซอร์แลนด์ก็ลุยงานทันทีด้วยการเปิดร้านใหม่ของตัวเองเลยค่า คลิกที่ภาพเพื่อฟังสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ (หรือจะอ่านบทสัมภาษณ์ด้านล่างก็ได้ค่ะ)
York : ช่วยแนะนำตัวหน่อยค่ะ?
น้องฟลุ๊ค : สวัสดีครับ ชื่อ ธีรรัตน์ พัฒนามนตรี ครับ ชื่อเล่นชื่อฟลุ๊คครับ ตอนนี้อายุ 24 ปีครับเพิ่งกลับมาจากสวิสสดๆ ร้อนๆ เลยครับ พอกลับมาตอนนี้ผมก็เปิดร้านอาหารอยู่ ชื่อร้านเจ๊เกียง โจ๊กกองปราบครับ ยังไงก็ฝากร้านไว้อ้อมกอดด้วยนะครับ ก็กลับมาถึงแล้วก็ได้เปิดร้านที่เป็นร้านของครอบครัวแต่ผมวางแผนที่จะขยายต่อ ตอนนี้เราก็กลับมาขยายต่อแล้วล่ะ เป็นสาขาที่ 2 สาขาแรกอยู่โชคชัย 4 สาขานี้อยู่สายไหม 29 ครับ ปากซอยเลย
York : เรียนหลักสูตรอะไรที่ B.H.M.S คะ?
น้องฟลุ๊ค : ผมไปเรียน Culinary Arts ครับ เป็น postgraduate diploma
York : การเรียนการสอนที่นั่นเป็นอย่างไรบ้างคะ ?
น้องฟลุ๊ค : การเรียนการสอนเค้า ผมว่าดีมากนะเพราะว่าเค้าเน้นปฏิบัติ คืออย่างผมอ่ะผมเรียน Culinary Arts ถูกไหมครับ แล้วก็จะมีเพื่อนๆ ที่เรียน Hospitality คือวิชานี้พวกมันเป็นภาคปฏิบัติอยู่แล้ว คือทฤษฎีก็ต้องมีบ้างแบบแค่ให้เข้าใจแกนหลักของมัน กฎของมัน แต่ที่นี่เขาจะเน้นปฏิบัติเยอะ มันจะทำให้เด็กได้เนื้อๆ กับที่สำคัญสุดคือช่วง 6 เดือนหลังครับ ก็คือการฝึกงานอันนี้แหละจะเป็นตัวที่ทำให้เราได้ประสบการณ์ครับ
York : อุปกรณ์การเรียนการสอนเหมือนของจริงที่ใช้ตามร้านอาหารหรือเปล่าคะ
น้องฟลุ๊ค : ถ้าให้ผมดูนะ เอาจริงๆเหมือนกัน ที่ไปฝึกงานคือถ้าโรงเรียนน่ะทาง B.H.M.S ไม่ได้ปูพื้นฐานให้ก็น่าจะลำบากอยู่ เพราะว่าเค้าพยายามจะใช้ให้ได้มากที่สุดให้เราปรับตัวก่อนไปทำงานจริงอะไรอย่างนี้ โอเคนะผมว่าเหมือนมาก ดีเลยครับ โดยเฉพาะแบบเราเรียน Culinary Arts มันเป็นครัว เรื่องความกดดันอะไรพวกนี้มันมีอยู่จริงในครัว ตัวอาจารย์เองเขาก็แบบเเป็นครูที่ดีครับเขาก็เลยแบบว่าจะให้เราปรับตัวกับความกดดันนั้นก่อนคือดีมากๆเลยครับ
York : การเรียนการสอนของสถาบันเป็นอย่างไรคะ
น้องฟลุ๊ค : คือผมต้องเล่าแบบให้มันละเอียด เพราะว่าเราชอบตรงนี้แหละเรื่องสไตล์การสอนของเขาก็คือว่าเค้าอาจจะมีสูตรของเขาและ โอเคนิดนึง แล้วเราก็ต้องหัดทำตามสูตรก่อนเพราะว่ามันเป็นเบสิคของการทำอาหารคือเราต้องเข้าใจตัวสูตรไม่งั้นเราจะไม่สามารถทำอาหารได้ แต่พอเราเรียนมาสักพักนึงเค้าก็จะมีช่วงให้เราแบบออกแบบอาหารเอง ไม่พอนะครับออกแบบคอร์สอาหารเองด้วย แบบ fine dining ก็จะมี starter course จะมี dessert (ของหวาน) อะไรอย่างนี้ จะให้เด็กใช้ความสร้างสรรค์ทำงานร่วมกันเป็นทีมครับอันนี้สำคัญมากเพราะเด็กๆ ที่อยากทำเป็นเชฟหรือว่าเปิดร้านอาหารจะต้องรู้จักการทำงานร่วมกัน โรงเรียนปูพื้นฐานพวกนี้แน่นมากๆ แล้วแถมให้เด็กใช้ความครีเอทีฟได้เต็มที่ไม่มีขีดจำกัด ดีมากๆชอบจริงๆ อันนี้
York : ชีวิตความเป็นอยู่ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้างคะ
น้องฟลุ๊ค : คือผมชอบนะ คือพอเรากลับมาไทยอย่างงี้ เราคิดถึงแบบ Life Balance ที่นั่นน่ะ คือเอาจริงๆ ที่สวิสมันเป็นที่ที่โอเคไปหมดอ่ะ อากาศก็ดี อะไรอย่างงี้ แล้วแถมแบบคน ที่สำคัญคือคนเค้า friendly ครับ เค้า nice มากๆ แล้วแบบเราชอบชีวิตที่แบบมันสามารถจัดตารางได้ง่าย ๆ คือเราเรียน เราก็มีเวลาเรียน เรารู้แล้ว แล้วเราสามารถทำอะไรก็ได้เพราะทุกอย่างมันเป็นระบบมันเป๊ะหมด อันนี้คิดถึงมากๆ พูดแล้วน้ำตาจะไหลเลย คิดถึง คิดถึงครับ ชอบๆ
York : นักเรียนไทยเยอะไหมคะ
น้องฟลุ๊ค : คนไทยไม่ได้เยอะขนาดนั้น แล้วคนไทยไปนู่นรักกันมากขึ้นเพราะคนไทยมีอยู่ไม่กี่คน แถมคนไทยอ่ะพอได้เจอกันมันเหมือนเราจะเรียกว่าภาษาเดียวกันมันก็ไม่เชิงครับ มันเหมือนแบบ culture เดียวกันมากกว่ามันทำให้เวลามีอะไร จะกล้าช่วยเหลือกัน กล้าปรึกษาหารือกัน กล้าคุยกันอะไรอย่างเงี้ย ผมว่าเป็นข้อดีด้วยซ้ำนะการที่มีคนไทยอยู่ที่นู่น แต่สุดท้ายแล้วอ่ะ พอมีคนไทยที่อยู่ก่อนอย่าลืมว่าเขาก็ต้องมีเพื่อนอยู่แล้วถูกไหม แล้วเราเป็นเด็กใหม่ เราคนไทยเราก็ไม่ค่อยกล้าคุยอยู่แล้วมั้ง บางคนอะเนาะ เขาก็จะพาเรานี่แหละ ไปหาเพื่อน ไปเข้าสังคมใหม่ ๆ ผมว่ามันดีนะ ผมก็โอเคครับ
York : อยากให้เล่าตอนฝึกงานหน่อยค่ะ
น้องฟลุ๊ค : ผมฝึกที่เมือง Interlaken ครับ ที่ Victoria-Jungfrau ครับผม ฝึกแผนกครัวตรงบาร์ได้ 3 เดือนครับแล้วก็อีก 3 เดือนผมไปฝึกที่ pastryไปหัดทำขนม หัดทำ patisserie ครับ
York : ได้อะไรจากการฝึกงานบ้างคะ
น้องฟลุ๊ค : จริงๆอ่ะ ได้เยอะ มัน inspire ผมครับ เพราะว่าตอนเรียน เราก็ได้อะไรเยอะแล้วนะ แต่ช่วง 6 เดือนหลังผมว่ามีความหมายกับผมมาก ๆ เพราะด้วยความที่บ้านเราเองก็เป็นอาชีพร้านอาหาร ผมเองก็อยากทำอาชีพเปิดร้านอาหารอยากเป็นนักธุรกิจที่เปิดร้านอาหาร ทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับอาหารครับ อันนั้นคือเป้าหมายของผมเนาะ แล้วพอไปนู่นอ่ะ ตอนแรกอ่ะเรามีความคิดเป็น mindset เหมือนเชฟมากที่แบบว่า เราจะทำอย่างเดียว แต่พอไปนู่นไม่ได้แล้ว เราอยากเป็นเจ้าของ เราได้เห็นอะไรเยอะมากเลย คือชอบตรงที่งานอาหาร งานครัว งานเซอร์วิส มันหนัก แต่ที่นั่นอ่ะเขาสามารถทำให้มันเป็นระบบได้ พนักงานเขามี Work Life Balance เขามีสวัสติการที่ดีกว่าที่นี่ คือเราอยากหาวิธี ถ้าเอาตรงนั้นมาอยู่ที่ไทยได้ ผมบอกเลยว่าเชื่อว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกได้นะครับ
คืออยู่นู่นน่ะเราก็แบบ โอเคเราอยู่สวิตเซอร์แลนด์เนาะ แล้วตอนอยู่ไทยเราก็ไม่ได้เห็นค่าของประเทศไทยขนาดนั้น อันนี้พูดตรงๆนะฮะ แต่พอไปนู่นอ่ะเราเพิ่งรู้ว่าฝรั่ง ชาวต่างชาติ ประเทศไหนก็ตาม เขาเห็นค่าของประเทศไทยมาก คือประเทศไทยมันโตได้เยอะครับ แต่ประเทศไทยยังขาดระบบ ถ้าประเทศไทยได้ระบบเหมือนที่นั่นผมบอกว่า บอกเลยจริง ๆ ว่าประเทศไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกครับสุดยอดมาก คือ inspire หลายอย่างมากครับ สุดยอดมากคือ inspire หลายอย่างมาก แต่ผมว่าผมไปเห็นระบบที่นู่นมากกว่าครับ แล้วเราก็ได้ inspiration อันเนี้ยผมว่า inspiration เนี่ยสำคัญมากๆ เลยเพราะว่าเราเห็นอะไรหลายอย่างที่แบบเราไม่ได้มองมันเลยตอนที่เราอยู่ไทย แต่พอเราไปอยู่นั่นเราเพิ่งรู้ว่าของที่มีค่าที่สุดของเรามันคือของใกล้ตัวของเราคือหลายอย่างครับแล้วด้วยระบบวินัยการทำงานของเขาด้วยมัน inspire เรามาก
แล้วผมก็ต้องขอบคุณเชฟที่ผมไปฝึกงานด้วย เชฟเพียครับ เป็นเชฟที่ทำงานอยู่แผนก patisserie เป็นหัวหน้าฝ่ายนั้น แก inspire ผมครับ ผมชอบแกมากๆ แกเป็นบอสที่เท่ห์มาก เมนูอาหารเจ อะไรอย่างเงี้ยแต่ว่าผมออยากมาพรีเซนต์ให้เป็น วีแกน เพราะว่าที่นู่นคนกินวีแกนกันจนแบบธรรมดามากเลยครับ แต่ที่ไทยมันยังไม่ได้เยอะขนาดนั้นแต่เชื่อว่าก็มีแล้วมันก็มีหลายคนที่เขากินวีแกนแล้วกำลังมองหาอยู่เราก็พยายามจะดันเทรนด์ที่แอบแฝง เรียกว่าเทรนด์ที่แอบแฝงดีกว่า เพราะก็มีคนกินแต่มันแอบๆ อยู่เนาะ เราพยายามจะดันเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วส่วนอาหารในสไตล์ที่เราไปเรียนที่นู่นก็เป็นอาหารสไตล์ยุโรป แต่พอออกมานี่ผมขายโจ๊กขาย อาหารไทย ผมต้องทำยังไงก็ได้ให้เราใช้วิชาของเรา ด้วยบวกไปกับอาหารไทยสตรีทฟู้ดพื้นบ้านให้มันยกระดับขึ้นมาในราคาที่คนไทยเขาสามารถเข้าถึง อย่างโจ๊กฟักทองผมก็เอาจริงๆ เบสคือซุปฟักทองดีๆ นะครับแต่เรามาปรับให้มันเป็นโจ๊ก ให้คนแบบเข้าใจง่าย แต่พอกินเข้าไปแล้ว เฮ้ย ทำไมรสชาติสะอาด เฮ้ยทำไมรสชาติมันว้าว แต่ละครั้งให้ยูทำได้ยังไง มันก็ได้ความสร้างสรรค์มาจากที่นู่นแหละครับ
แล้วที่สำคัญคือการ operate ด้วย เราเห็นระบบการทำงานในครัว การถนอมอาหาร รวมถึงเชฟที่อยู่ที่นู่น เขาก็เคยบอกผมว่า พูดจริงๆนะ ต่อให้ยูอ่ะเป็นเชฟที่เก่งแค่ไหน ยูเป็นเจ้าของร้านที่เก่งแค่ไหน แต่ถ้าของที่ยูมีต้นทางอ่ะมันไม่ดีอ่ะ ให้ตายไงของที่ดีที่สุดอ่ะ ก็สามารถเป็นของที่ใแย่ที่สุดได้ เราก็เลยแบบให้ค่าของระบบในครัวมากๆ ให้การเก็บการถนอม
อันนี้ได้เยอะมากๆครับ ได้ประสบการณ์ ขอใช้ว่าประสบการณ์ดีกว่า ผมว่าประสบการณ์นี้มีค่าผมมากๆ เพราะว่าพูดจริงๆ ความรู้มันก็หาง่าย ทุกวันนี้เราเปิด YouTube เปิดอะไก็ได้ แต่การที่ได้ไปเรียนที่ BHMS แล้วไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงขอบคุณพี่ๆ เอเจนซี่ทุกคนด้วยครับขอบคุณมากๆ ที่ช่วยทำให้ผมไปถึงนู่นได้ คือผมได้ประสบการณ์มาเยอะมากๆ แล้วเรายังรักแล้วคิดถึงที่นั่นมากๆ ครับ ใช่เพราะถ้าไม่มีพี่ๆ ผมก็ไม่ได้ไปที่นู่นถูกไหม แล้วถ้าไม่มีที่นั่น ผมก็คงไม่ได้โตขึ้น คือ 1 ปีที่ไปอยู่นู่นมันไม่มีคำว่าสูญเปล่า รู้สึกว่าเรากระโดดข้ามเวลาด้วยซ้ำให้เราโตขึ้นแล้วก็เจอกับอะไรดีๆ ที่เร็วขึ้น โอเคถ้าสำหรับน้องๆ ที่สนใจอยู่นะครับ
York: อยากให้ฝากอะไรถึงคนที่อยากไปเรียนที่ B.H.M.S.หน่อยค่ะ
น้องฟลุ๊ค: บอกเลยว่าลุยเลยครับ ไปกับ York Institute พี่เกลน่ารัก พี่ๆ ทุกคนน่ารักมากๆ แล้วทุกคนดูแลอย่างดี รวมถึงโรงเรียนก็ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ ถ้าน้องมีใจรักงานสาย Hospitality จริงๆ หรือว่าสาย Culinary ผมบอกเลยว่าลุยครับ รับรองคุ้มแน่นอน ใช่ดี มากๆ ไปแล้วสนุกเดี๋ยวไปแล้วจะไม่อยากกลับ ระวังนะครับ (หัวเราะ) ใช่ลองดูนะ สู้ๆ
York : ขอบคุณมากค่ะ
น้องฟลุ๊ค: ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณน้องฟลุ๊คมากค่ะที่ให้โอกาส York Institute ได้ดูแลน้องฟลุ๊คในการไปศึกษาต่อต่างประเทศครั้งนี้พี่ๆ ทุกคนภูมิใจและขอเป็นกำลังใจให้น้องฟลุ๊คประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้นะคะ
น้องฟลุ๊ค เรียนหลักสูตร Postgraduate Diploma in Culinary Arts ที่ สถาบันการโรงแรม B.H.M.S. ค่ะ