Blogs
(ตอน 3) live สดกับคุณเจต Regional Manager, South East Asia จากสถาบันภาษา EC English ที่มีกว่า 30 แคมปัสทั่วโลก
(การสัมภาษณ์นี้มีขึ้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ข้อมูลในเรื่องการกักตัว, การเปิดสอนในแต่ละแคมปัส อันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิดอาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดสอบถามข้อมูลล่าสุดได้ที่ York Institute)
(ต่อจากตอน 2)
EC English: ทั่วไปนักเรียนที่ไปเรียนภาษาอังกฤษก็จะเป็นหลักสูตร General English ซึ่งมันจะแบ่งจำนวนชั่วโมงเรียนต่างกับในออสเตรเลีย ถามว่าทำไมถึงต่าง ต่างเพราะว่ามันถูกกำหนดจากกฎตรวจคนเข้าเมือง ในฝั่งของออสเตรเลียเองเค้าจะกำหนดว่าเด็กจะต้องเรียนขั้นต่ำ 20 ชั่วโมงต่อ 1 สัปดาห์ นั่นหมายถึงในคาบเรียนของโรงเรียนบวกกันแล้วจะต้องครบ 20 ชั่วโมงต่อ 1 สัปดาห์
แต่ในฝั่งอังกฤษ นักเรียนสามารถขอวีซ่านักเรียนที่เป็น short term ไม่เกิน 6 เดือน หรือไม่เกิน 11 เดือน การเรียนจะอยู่ที่ 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพราะฉะนั้นเด็กไปเรียนภาษาอังกฤษโดยที่ยังไม่มีเป้าหมายว่าจะทำอย่างไร ก็จะเรียนเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ อยากจะพูดฟังให้เป็น เขียนอ่านพอได้บ้างแต่ว่าก็จะไม่ซับซ้อนมาก หรือข้อจำกัดความรู้ทางภาษาอังกฤษอาจจะมีขอบเขตที่ค่อนข้างแคบ นักเรียนก็จะไปเรียนภาษาอังกฤษแบบ General English กัน
บางคนอาจจะได้ยินเป็น intensive English นะคะ มันคือการเรียน General English แหละ เพียงแต่จำนวนชั่วโมงเรียนจะเยอะกว่ามันก็เลยจะเข้มข้นขึ้น นอกจากนี้ทางอังกฤษก็ยังมีสอน IELTS Preparation เนอะเพราะว่าการสอบในฝั่งยุโรปนิยมสอบเป็น IELTS เหมือนกัน
แล้วก็อีกอันนึงที่นักเรียนไทยอาจจะไม่ค่อยนิยมเรียน ก็คือ Cambridge ถามว่ามันคืออะไรแล้วทำไมในไทยถึงไม่นิยม ในไทยจะนิยม TOEIC มากกว่าเท่าที่พี่ได้ยินเนอะ ส่วน IELTS หรือ TOEFL มันจะสำหรับนักเรียนที่ต้องการจะเรียนต่อ แล้ว Cambridge คืออะไร หลักๆ Cambridge มันคือหลักสูตรภาษาอังกฤษที่เน้นการใช้งานแบบที่ถ้าเราเป็นคนนึงคนแล้วต้องทำงาน เราจะต้องใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับไหน แล้วมันจะวัดทิศทางภาษาอังกฤษแบบไหน มันจะวัดทิศทางภาษาอังกฤษในทุกระดับของการสนทนาเมื่อคุณอยู่ในสังคมที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษคุณต้องติดต่อสื่อสารได้หมด อย่างเช่น ในวิชาการคุณก็ต้องได้ คุณอยู่ในสำนักงานคุยเรื่องเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม คุณต้องติดต่อได้ หรือถ้าในมองภาพรวมถ้าเราต้องการย้ายถิ่นฐานที่อยู่ไปอยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ คุณต้องพูดภาษาอังกฤษได้ใกล้เคียงกับ Native Speaker นะคะ มันจะเป็นตัววัดตรงนี้
เราจะเห็นว่าเด็กยุโรปหรือเด็กอเมริกาใต้นิยมที่จะเรียนตัวนี้มากกว่า แล้วก็ส่วนตัวพี่แนะนำว่าสำหรับนักเรียนที่เน้นว่าจะต้องมีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษแบบดีๆ ไปเลย ที่ไม่ได้เน้นการเขียนไปทางเดียว Cambridge ก็เป็นตัวที่ตอบโจทย์มากกว่า IELTS เพราะ IELTS จะเป็นตัวหลักสูตรที่สอนให้เอาชนะข้อสอบ ไม่ได้สอนให้เรามีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษได้แบบเหมือกใกล้เคียงกับ Native Speaker เพียงแต่มันแค่แยกย่อยให้เป็น 4 ทักษะให้เรา ข้อสอบที่เราเห็นมันจะเน้นให้คะแนนเป็นหลัก
แต่ Cambridge มันจะดูทักษะการใช้ ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษจริงๆ ดังนั้นนี่จาก feedback ของนักเรียนไทยที่ทดลองเข้าไปเรียนโดยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรมาก่อน เกือบ 100% นักเรียนจะเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ เพราะว่าในชั้นเรียนจะมีการปรึกษาพูดคุยในระดับนึงเลย เพราะฉะนั้นมันจะมีขั้นต่ำในการอนุญาตให้เข้าเรียนด้วย คือ Level ขั้นต่ำเป็น Intermediate คือคุณจะต้องสื่อสารได้ก่อนนะคะ ขั้นตอนของมันคือนักเรียนไปเรียน General English หรือ Intensive ก็ได้นะคะ เมื่อแตะระดับ Intermediate แล้ว ก็ค่อยเข้าไปเรียนตัว Cambridge ก็ได้ค่ะ
York: Cambridge ไม่ใช่การเรียนภาษาเพื่อไปเอาชนะข้อสอบ แต่เป็นการเรียนภาษาเพื่อพัฒนาทักษะ เน้นในเรื่องของการพัฒนาทักษะให้ครบทุกด้านนะคะ เพราะฉะนั้นก็เป็นตัวนึงที่น่าสนใจมากๆ เลย สำหรับเด็กไทย ถ้าน้องๆ คนไหนลองทดลองเรียนดูก่อน
EC English: ทดลองเรียนดูก่อนว่าเป็นอย่างไร ถ้าเกิดเรารู้แล้วว่าเราต้องการให้มีทักษะในการติดต่อสื่อสารได้ดี โดยการที่ไม่เน้นว่าฉันต้องเขียนอ่านได้แบบสมบูรณ์แบบวิชาการที่ไปทาง IELTS หรือ EAP อันนี้ก็จะเป็นตัวที่น่าสนใจ
York: แล้วนอกจาก General English, Intensive English, IELTS แล้วก็ Cambridge แล้วน่ะคะ อันนี้มีตัวอื่นเพิ่มเติมไหมคะ
EC English: ถ้าในฝั่งทางยุโรปที่ถามถึง จริงๆ มันจะมี มันจะอยู่ในหมวดของ Intensive นี่แหละค่ะ มันก็จะเป็น English for Work , English in the city นะคะ แล้วก็ Academic English เนอะ ในฝั่งยุโรปเราจะมี English for work แล้วะก็ English in the city อาจจะมีช่วงเวลานึงที่เราจะเน้นภาษาอังกฤษที่ใช้ในการทำงาน
อาจจะมีบ้างคนที่เลือกว่าอาจจะเป็นนักเรียนระยะสั้น เราก็จะมี English in the city ที่จะมีการพาเค้าไปใน landmark ของเมืองที่เค้าเลือกเรียน ก็สอนภาษาอังกฤษที่มีบริบทเกี่ยวกับเมืองนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ จะดึงดูดนักเรียนที่ไปเรียนระยะสั้น เพราะในอังกฤษต่อให้นักเรียนลงเรียน 5-6 สัปดาห์ก็ขอเป็นวีซ่า short term student visa ได้ ก็จะมีนักเรียนที่เค้าตั้งใจไปเรียนเป็นอันดับแรกแล้วก็เที่ยวทีหลัง เพราะถ้าเอาวีซ่าท่องเที่ยวไปเรียนเลย มันจะอนุญาตถ้านักเรียนไปสมัครเรียนที่นู้นแล้ว เพราะว่าวัตถุประสงค์ในการออกวีซ่าคือท่องเที่ยวนะคะ จะได้นักเรียนที่ไม่อยากเรียนนาน หรืออาจจะเรียนช่วงปิดเทอมอะไรแบบนี้น่ะค่ะ ก็จะเป็นเด็กที่สนใจเรียน English in the city
ส่วน English for work ก็จะเป็นเด็กที่เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ภาษาอังกฤษอาจจะไม่ดีพอ แล้วก็อยากจะมีความรู้ในเรื่องของงานด้วย อาจจะเป็นคนที่เริ่มต้นทำงาน หรือว่าคนที่กำลังจะเปลี่ยนงาน ประมาณ 80% ก็ยังคงเป็นการสอนภาษาอังกฤษ ส่วน 20% จะเป็นเพิ่มทักษะในเรื่องของงานอย่างเช่น คุยกับ HR แบบไหน เขียน Resume ยังไง
York: ก็เรียกได้ว่า EC เราก็มีหลักสูตรทุกหลักสูตรที่ตอบโจทย์ น้องๆ ทุกๆ คนนะคะให้สามารถเลือกเรียนได้ตามความต้องการได้เลยนะคะ อยากรู้นิดนึงเมื่อกี้เราเห็นแล้วว่าฝั่งออสเตรเลียข้อดีของออสเตรเลียคืออะไร ทีนี้เราอยากรู้เป็น overall ภาพรวมนิดนึงว่าจุดแข็งของ EC ที่ทำให้โดดเด่นกว่าโรงเรียนอื่นคืออะไร
EC English: หลักๆ เลย ถ้าจะเป็นส่วนของ Sydney, Melbourne, Brisbane เราเป็น Co-city campus กับ Charles Sturt University ห้องสมุด Common area ของ Charles Sturt University นักเรียนเราสามารถเข้าไปใช้ได้เสมือนเป็นนักเรียนของ Charles Sturt University เลย การเรียนการสอนของเราถึงแม้ว่าจะเป็นฝั่งที่เป็น ANZ (Australia & New Zealand) นะคะ ต่างไปด้วยจำนวนชั่วโมง เราก็สามารถเอา National Geographic Learning ไปผสมผสานด้วย ไม่ได้ตัดทิ้งทั้งหมด เรายังคงเป็นระบบการเรียนการสอนแบบออสเตรเลีย ซึ่งมีคุณภาพอยู่แล้ว แต่เราใช้ content ใหม่ของทาง National Geographic เข้าไปเสริมเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ที่มีวงรัศมีกว้างมากขึ้นในทุกๆ ส่วน ทุกๆ บริบท ในชีวิตได้ อันสุดท้ายคือศูนย์ของเรา เรา renovate ใหม่ทั้งหมด นะคะก็จะมีความเป็น Minimal มากขึ้น เพราะว่าจากการที่ได้คุยกันว่าเราเป็น European Company สไตล์เค้าจะเป็นแบบเรียบๆ สมัยใหม่ค่ะ การตกแต่งเราจะเป็นสีเทา ดำ ขาว แล้วก็จะมีสีประจำบริษัทก็คือสีส้มนั่นเองค่ะ
เดี๋ยวพี่จะให้ดูภาพคร่าวๆ ของที่ Sydney นะคะ ทุกศูนย์ของเราจะใช้กระดาน white board interactive นักเรียนสามารถลบเขียนอะไรได้นะคะ สะดวกมาก ไม่เป็นมลพิษ กับนักเรียนเองที่เรียนในห้อง เหมือนที่เป็นปากกาเคมี แล้วก็เปลี่ยนเป็น Interactive white board ทั้งหมด
นี่ก็จะเป็นตัวอย่างของศูนย์ที่ Melbourne นะคะ ก็อันนี้เป็นที่ Brisbane นะคะ จะเห็นว่ามันจะดูโล่งๆ โปร่งๆ คือก่อน Covid มันก็ดีอยู่แล้ว มันให้ความโล่ง ปลอดโปล่ง สบายตานะคะ แล้วก็อันนี้จะเป็น Gold Coast นะคะ
ส่วนอันนี้จะเป็นของที่ New Zealand เราจะเห็นว่ามันจะคล้ายกันมากในทุกๆ ที่แต่ว่าเค้าจะใส่ Gramick เล็ก ๆ น้อย ๆ ลงไป อย่าง New Zealand ก็จะมีใบเฟิร์น นกกีวี ส่วน Gold Coast ก็จะเป็นสีแบบนี้ สะท้อนถึงชายหาด การเล่นเซิร์ฟ ส่วนที่ Melbourne เค้าก็จะมี ออกแนวมีคาเฟ่ร้านอาหารเยอะ ส่วนที่ Sydney จะเป็นแบบสมัยใหม่หน่อย รูปดู abstract หน่อยเพราะ Sydney จะเป็นเมืองใหญ่ที่สุด มีความหลากหลายมากที่สุดในออสเตรเลีย
York: แล้วแคมปัสของทางอังกฤษล่ะคะ หรือทางมอลต้าเองน่ะค่ะ การตกแต่งคือเป็นคล้ายๆ แบบนี้เลยหรือเปล่าคะ
EC English: เป็นโทนเดียวกันเลยค่ะ เราสามารถเข้าไปดูได้นะคะ พี่จะแนะนำเว็บไซด์เนอะ ซึ่งถ้าน้องๆ จำไม่ได้ ก็ติดต่อพี่เกลได้นะคะ ก็คือที่เป็น partner.ecenglish.com แล้วก็เลือกที่เป็น amazing school แล้วก็เลือกที่เป็น take a peek inside นะคะ มันก็จะเป็นรูปแบบ 360 องศา
อันนี้เป็นที่ London นะคะ เราไปใช้ช่างภาพ platform เดียวกับ Google เลยค่ะ นักเรียนสามารถลากดูได้ อันนี้เป็นชั้นเรียนของที่ EC London เราจะเห็นว่ารูปแบบ จะเป็นแบบ European นิดๆ คือพยายามให้โล่ง ให้โปร่งนะคะ แล้วก็เราสามารถเลือกได้ค่ะ อันนี้ก็จะเป็นห้องอาหารนะคะ ชั้นล่างของตึกเลยค่ะ ตึกนี้สะดวกมากๆ เดินทางออกที่สถานี Euston นะคะ ใจกลางเมือง London เลย เดินทางสะดวกมาก คือตึกอยู่ตรงปากทางออกเลย ไม่มีทางพลาดแน่นอนค่ะ
หรืออย่างถ้า Malta อันนี้จะพิเศษหน่อยเพราะว่าทั้งตึกเป็นของเรา เราใช้ทั้งตึกคนเดียวดังนั้นเนี้ย มันจะเป็นระบบ 3D นี่ก็จะเป็นตัวตึกให้เห็นเลยนะคะ เราก็ไปเลือกเอา ถ้าเราอยากดูเป็น Floor เราก็เลือกไปค่ะ รูปแบบจะสังเกตได้ว่าเราจะ Minimal มาก ๆ สุดท้ายเราก็มี terrace ให้นี่ค่ะ บรรยากาศมันก็จะฟ้าเป็นฟ้าแบบนี้เลย ยกเว้นช่วงฤดูหนาว ที่ของเค้าจะเป็นฤดูฝนนะคะ ก็จะเป็นสีเทาๆ บ้าง แต่ถ้าวันไหนไม่มีฝนตกก็จะเป็นสีฟ้าแบบนี้ค่ะ เดี๋ยวไปดูชั้นที่เป็นชั้นเรียน นักเรียนก็สามารถเข้าไปลองเล่นดูได้นะคะ
York: ดีเลยค่ะ น้องๆ จะได้เห็นว่าแต่ละชั้นโรงเรียนเป็นอย่างไรบ้างนะคะ
EC English: นี่เราก็จะเป็น Interactive white board นะคะ นี่เป็นตัวอย่างเนอะ ถึงตรงนี้มีคำถามบ้างไหมคะ
York: เออ เมื่อกี้เราก็รู้เรื่องของหลักสูตรไปแล้ว รู้เรื่องจุดเด่นของ EC ว่า EC ของเรามีจุดเด่นอะไรบ้าง แล้วก็ทีนี้ถามนิดนึงเลยค่ะ ตอนนี้ค่าเรียนมีเท่าไรบ้างคะ มีโปรโมชั่นอะไรบ้าง
EC English: ปัจจุบันเรามีโปรโมชั่นซึ่งนักเรียนสามารถติดต่อกับทาง York ได้เลย ราคาเราก็จะยาวไปถึงสิ้นปี นักเรียนสามารถสมัครไว้ก่อนนะคะแต่ว่าตราบใดที่นักเรียนยังเดินทางไม่ได้เราจะไม่รับการชำระเงินนะคะ เพื่อความสบายใจของทุกคนนะคะ ก็ถ้าเกิดประเทศไหนสามารถทำวีซ่าได้แล้ว แล้วก็อนุญาตให้วีซ่าทุกประเภทเดินทางได้แล้วอย่างงี้ค่ะ นักเรียนแน่ใจว่าสามารถจองตั๋วไปได้ ก็ให้ชำระเงินก่อนก่อนเดินทางเข้าโรงเรียนนะคะ
York: ก็คือน้องๆ ก็สามารถที่จะจองสมัครตอนนี้ได้เลย แล้วเก็บไปเรียนปีหน้าก็ได้ค่ะ โดยที่ยังไม่ต้องจ่ายเงินตอนนี้ จ่ายอีกทีตอนนี้เรามีการขอวีซ่า เรียบร้อยแล้ว
EC English: คือ ณ ตอนนี้เรารู้ว่าในหลายๆ ประเทศ นักเรียนก็ยังไม่สามารถเดินทางได้
อย่างแคนาดาเค้าก็ยังปิดอยู่ถึง 31 สิงหาคม ก็ไม่แน่ใจว่าจะต่อไหมนะคะ สมัครเข้ามาที่แคนาดาก็ได้ หรือสมัครเข้ามาที่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ก็ได้ค่ะ เพียงแต่ว่ายังไม่ต้องจ่ายเงิน เพราะว่าเรายังไม่ทำวีซ่า ทาง EC ก็จะยังไม่รับค่ะ สมมุติว่าเราแน่ใจว่ากลางปีหน้าเราจะสะดวกไปแระ ก็สมัครไว้ก่อนได้ เราก็จะล็อกราคาโปรโมชั่นของปี 2020 ไว้ให้นะคะ
อันนี้พี่พูดให้ทราบเลยค่ะว่าทุกโรงเรียนหรือแม้กระทั่งมหาวิทยาลัย เค้าจะต้องขึ้นค่าเรียนทุกปีค่ะ เพราะมันต้องชนะค่าเงินเฟ้อ ที่ไม่เกิน 5% นะคะ เพราะฉะนั้น มันจะไม่มีทางที่จะถูกลง ราคามันจะมีแต่สูงขึ้นๆ สมัครเพื่อล็อคราคาโปรโมชั่นของปีนี้ไว้ก่อนนะคะ เพราะว่าโดยปกติเนี้ยถ้าเป็นโรงเรียนภาษาทั่วไป ทุกโรงเรียนจะขึ้นราคากันเมื่อสิ้นปีงบประมาณแล้ว ก็คือ 30 กันยายน quarter สุดท้ายเลยที่จะขึ้นราคาสำหรับปีถัดไป แต่อันนี้เราให้ราคานี้จนไปถึงสิ้นปี น้องจะไปเริ่มเรียนพฤศจิกายน ปีหน้าเลยก็ได้ค่ะ ไม่เป็นปัญหาเลย
York: แล้วตอนนี้โปรโมชั่นส่วนลดคือกี่เปอร์เซ็นคะ
EC English: เราอยู่ที่ 25% ค่ะ จริงๆ พี่ก็จะบอกเป็นต่อสัปดาห์ได้แหละแต่ว่ามันก็จะต่างกันตามหลักสูตรที่นักเรียนเลือกเรียนอีก สมมุติเลือกเรียนในยุโรป 15 ชั่วโมงราคาก็จะถูกระดับนึง แต่ถ้าเกิดเด็กต้องการเรียนเป็น intensive ราคามันก็จะ แพงขึ้นมาอีกระดับนึง เพราะว่าจำนวนชั่วโมงเรียนมันมากกขึ้น เพราะฉะนั้นราคามันจะไม่เท่ากันในแต่ละประเทศ แต่ละหลักสูตรนะคะ แต่ว่าทางเกลสามารถทำราคาในภาพรวมให้ได้ทั้งหมด นักเรียนสามารถคุยกับทางเกลเพิ่มเติม หรืออยากให้เปรียบเทียบสองหลักสูตรคู่กัน หรือแม้กระทั่งต่างเมืองด้วยซ้ำ อย่างตัวอย่างง่ายๆ คือราคา London, Brighton และ Bristol ราคาไม่เท่ากัน หรืออยากจะเปรียบเทียบราคาที่ London กับ Malta ก็ได้ค่ะ น้องเกลสามารถ covert เป็นเงินไทยให้ดูได้นะคะ
York: ได้ค่ะ ก็ถ้าเกิดน้องๆ สนใจแคมปัสไหน สนใจเรียนประเทศไหน ก็ติดต่อทาง York ได้เลยค่ะ ซึ่งทางเราจะมีเจ้าหน้าที่ทำเรื่องของราคาให้ดูเลยว่าราคาแคมปัสนี้ เท่าไรอย่างไรบ้าง ตามหลักสูตรที่น้องๆ สนใจ นะคะ ซึ่งอย่างที่บอกไปแล้ว โปรโมชั่นของเราตอนนี้คือลด 25% นะคะ แล้วก็ไม่มีค่าสมัครด้วยค่ะ ทีนีคำถามสุดท้ายแล้วนะคะ ขอถามว่าพอดีน้องๆ ที่สนใจไปออสเตรเลีย มีถามมาว่าถ้าไปออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์ ควรจะไปเรียนประมาณช่วงไหนดีคะ
EC English: เท่าที่พี่ได้ข้อมูลล่าสุด ถ้าเป็นฝั่งออสเตรเลียจริงๆ อยากแนะนำว่าให้ไปเริ่มสัก Quarter ที่สองของปีหน้า เพราะว่าข่าวที่ทางโน้นคือมันไม่มีข้อมูลอะไรที่เป็นทางการ แต่ว่าเราดูจากประกาศต่างๆ ก็คือตอนนี้เกิดการระบาดใหม่ใน Melbourne ตอนนี้ก็ lockdown อยู่ด้วยนะคะ
แล้วก็ทาง South Australia อนุญาตให้นักเรียนที่เป็นมหาวิทยาลัยเข้าไปเรียนได้ก่อน เค้าก็จะต้องรอดูว่ามันจะเกิดการระบาดขึ้นไหม และสามารถควบคุมได้ไหม ถ้าได้นะคะ น่าจะเปิด Quarter 1 ได้ แต่ถ้าไม่ พี่เดาว่าก็น่าจะประมาณ Quarter 2 ของปีหน้า เนื่องจากว่าแผนการช่วยเหลือของรัฐบาลต่อประชาชนของออสเตรเลียเนี้ย มันจะสิ้นสุดเดือนกันยายนนี้
แต่ว่าในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว หรือที่เกี่ยวกับนักเรียนต่างชาติ รัฐบาลพยายามจะช่วยเหลือถึงมีนาคม ปี 2021 มันจึงเป็นสัญญาณบอกเราได้ว่ารัฐบาลอาจจะคิดว่าการเปิดประเทศในนักเรียนทั่วๆ ไป น่าจะเป็น Quarter 2
แต่ว่าอันนี้คือสิ่งที่เราคุยกันจากข่าวที่ได้ยินในวันนี้ แต่ว่าสถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปอีกเดือนหรือสองเดือนข้างหน้าที่ว่าปลอดภัยก็ตั้งไว้สัก Quarter 2 ปีหน้าค่ะ จะดีกว่า ซึ่งมันสามารถขยับขึ้นมาได้อีกนะคะ เราไม่ได้กำหนดเรื่องนี้เพราะเนื่องจากไม่มีใครทราบว่ามันจะยังไง เราก็อนุญาตให้เลื่อนกำหนดวันเรียนเองได้ไปเรื่อยๆ
York: ประมาณเดือนไหนเอ่ย
EC English: ประมาณสักปลายเดือนเมษายน เพื่อที่เลี่ยงการเปิดเทอมหลักของนักเรียนระดับมหาวิทยาลัยและนักเรียนมัธยมเนอะ ถ้าเค้าเปิดทำวีซ่าแล้วมันอาจจะไปกระจุกและการเดินทางเราคิดว่าไม่น่าจะกลับมาถี่เท่าเดิม
เราควรจะเลี่ยงในช่วงนักเรียนเดินทางเข้า เพราะช่วงเปิดเทอมของเค้าจะเป็นประมาณปลายกุมภาพันธ์ ไปถึงต้นมีนาคม แล้วเราก็เขยิบมาอีกสักเดือน ปลายเมษา หรือต้นพฤษภา อากาศก็กำลังเย็นๆ ได้อยู่
เช่นเดียวกับที่ New Zealand ปัจจุบันทางตรวจคนเข้าเมืองจะระงับการออกวีซ่าให้อย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้ เพราะฉะนั้นการเปิดเรียนหรือการสมัครเรียนสำหรับน้องๆ ที่อยู่ในไทย เราเขยิบไปสัก Quarter 2 ของปี 2021 เพื่อดูว่าเค้าจะสามารถเปิดให้ได้ใน Quarter แรกไหม ถ้าเปิดได้เราก็ยังพอมีเวลาเตรียมเอกสารเนอะ ให้พี่เกลช่วยก็ได้
York: โอเคก็ตอบคำถามน้องๆ แล้วนะคะ อย่างที่บอกนะคะ ตอนนี้ยังเป็นแค่การคาดการณ์นะคะ แต่เราก็จะต้องดูสถานการณ์ ณ ตอนนั้นอีกทีนะคะ แต่ว่าตอนนี้เราคาดการณ์ว่าช่วงที่เหมาะกับการเดินทางก็น่าจะเป็นปลายเมษา หรือไม่ก็ต้นพฤษภา นะคะ ส่วนเรื่องการสมัครน้องๆ สามารถสมัครได้ภายในไม่เกินสิ้นปีนี้นะคะ เพื่อได้รับราคาปีนี้และโปรโมชั่นของปีนี้คือลด 25% นะคะ ก็วันนี้ต้องขอบคุณคุณเจษมากๆ เลยค่ะ ที่สละเวลามาพูดคุยให้ความรู้และแนะนำโรงเรียนดี ๆ ให้เรานะคะ
EC English: ขอบคุณค่ะ
York: และก็ขอบคุณน้องๆ ทุกคนที่ติดตามนะคะ แล้วเจอกันใหม่ในคลิปหน้าค่ะ สวัสดีค่ะ
หากน้องๆ สนใจเรียนภาษาอังกฤษ๋กับสถาบันคุณภาพ EC English สอบถามพี่ๆ ที่ York Institute ได้เลยนะคะ