Blogs
(ตอน 2) live สดกับคุณกิ๊ก ASEAN Regional Manager ของสถาบันการโรงแรมระดับโลกที่สวิตเซอร์แลนด์ BHMS
(ต่อจากตอน 1)
BHMS: แล้วแต่ละดับและก็ความยากง่ายแล้วกันเนอะ แน่นอนว่าถ้าเรียนตั้งแต่แรกปูพื้นฐาน นักเรียนอาจจะค่อนข้างเยอะหน่อย คลาสนึงประมาณ 15-20 คน แต่เราจะรักษาไว้ที่ 15 คนสำหรับคลาสปูพื้นฐาน station นึงก็อาจจะประมาณ 3-5 คนนะคะ เพราะว่าอะไร เพราะว่าเรายังไม่ได้โฟกัสเจาะลึกมาก จะเป็นการปูพื้นฐานการใช้ไฟ ใช้มีด ใช้อุปกรณ์กัน สามารถเรียนรวมกับเพื่อนได้ แต่พอระดับอาหารมันยากขึ้นมานะคะ อย่างเริ่มทำจริงจังแระ อาจจะลด station ละ 3 คนแระ หรือถ้าปี 3 โดยตรงหลายวิชาก็จะเป็น 1 station ต่อ 1 คนแระ ก็มีนะคะ เอาจริงๆ น้องๆ ก็จะโอดครวญนิดหน่อยนะคะ ก็เรียนกันจริงจังนะคะ ก็สรุป 1 station ละ 3 คน evaluate ทั้ง 3 ปีนะคะ แต่ก็จะมีบางวิชาที่เรียน 1 station 1 คน ก็ต้องทำใจให้ได้น๊า เราคนเดียวกับทั้ง station เลย
York: เอาจริงๆ แล้วมันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละวิชานะคะ ว่าความยากง่ายยังไง อันไหนที่ต้องทำคนเดียวให้ได้เท่านั้นเค้าก็จะให้อยู่คนเดียวต่อ 1 station ทีนี่ถามเรื่องฝึกงานดีกว่า คือน้องทุกคนถ้ามาสวิส ทุกคนจะพูดถึงเรื่องของการฝึกงานซะส่วนใหญ่ด้วยความที่สวิส อย่างที่เห็นพี่กิ๊กอธิบายเมื่อสักครู่นี้นะคะ คือมันก็จะเห็นว่ารูปแบบการเรียนคือเรียนในคลาส 6 เดือนและฝึกงาน 6 เดือน ต่อ 1 ปี การฝึกงานโรงเรียนเป็นคนหาที่ฝึกงานให้หรือน้องต้องหาเองคะ
BHMS: วันนี้ก็เตรียมมาให้น้องเกลดูด้วยนะ ทำการบ้านมาก่อน ก็แน่นอนว่าในสไลด์เป็นการบริการที่โรงเรียนช่วยเหลือเรา สรุปได้ว่าโรงเรียนก็จะช่วยเหลือจัดหางานให้นักเรียนนะ ในการฝึกงานเพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องกังวลว่าเราต้องไปนั่งหาเองหรือเปล่า หรือหาได้แล้วจะโดนเอารัดเอาเปรียบหรือเปล่า เพราะภาษาเราบางคนก็ยังไม่เก่งเนอะน้องเกลเนอะ อันนี้ก็จะเป็นข้อสรุปของทั้งหมดเป็นการบริการที่โรงเรียนช่วยเหลือเรา ก็คือโรงเรียนช่วยเหลือตั้งแต่เรียกไปคุยเลย หรือบางทีเรียกไปคุยแล้วนักเรียนไม่มาก็มี พี่แนะนำว่าพอถึงเวลาแล้วโรงเรียนเรียกไปคุยกับไปคุยปรึกษากับโรงเรียนนะคะ หรือว่าเราจะเป็น ฝ่าย active ขอนัดเข้าไปปรึกษาตั้งแต่ต้นๆ เลยก็ได้นะคะ
เค้าก็จะเรียกไป เราก็จะคุยกันเรียนรู้ทักษะเพื่อบางคนแล้ว ทักษะมาก็ต่างกันนะคะ ก็จะเรียนรู้ทักษะของน้องว่าคนนี้มีข้อดี ข้อเด่นอะไร บางคนอาจจะเด่นเรื่อง soft skills เรียนวิชาการไม่เก่ง แต่เก่ง soft skills มากเลยเข้ากับผู้คนได้ หรือคนนี้เก่งภาษา หรือคนนี้ได้ภาษาที่สามมาด้วยอะไรงี้ โรงเรียนเค้าจะเรียนรู้ทักษะพิเศษและเรียนรู้ความต้องการของเรานะ เราสามารถแจ้งความต้องการ เราอยากทำสไตล์ไหน บางคนเด็กอยู่อาจจะขอทำสไตล์ร้านอาหาร เพราะอาจจะไม่เครียดมาก จะได้เรียนรู้ทุกอย่างนะคะ หรือบางคนบอกว่าอยากทำสไตล์ Luxury brand นะ ซึ่งน้องเกลก็มีน้องที่ทำสไตล์ Luxury brand อยู่ หรือบางคนอยากทำสไตล์โรงแรม หรือบางคน อย่างของน้องเกลฉีกแนวอีกแล้วอยากทำสไตล์ Wellness care ศูนย์ดูแลสุขภาพ เพราะอย่าลืมว่า hospitality มันไม่ใช่แค่ร้านอาหารหรือโรงแรม แต่เป็นพวก Luxury Brand ของแบรนด์เนมก็อยู่ในธุรกิจ hospitality หรือจะเป็นพวกศูนย์สุขภาพที่ด้านฝั่งยุโรปค่อนข้างที่จะได้รับการยอมรับเป็นที่นิยมและอยู่ในส่วนของ hospitality ด้วย เราก็สามารถแจ้งความจำนงกับโรงเรียนก่อนนะ โรงเรียนก็พยายามดูนายจ้างที่เหมาะสมกับเรา
และเค้าก็จะช่วยเราในการพัฒนา CV ของเราและก็ส่ง CV ให้ด้วยนะ ส่งให้กับทางนายจ้างหรือว่าสถานประกอบการ หรือจะเรียกว่า property แล้วกันนะเป็นศัพท์เทคนิคนะ แล้วเค้าก็จะส่งให้ property ต่างๆ แล้วเมื่อมีใครตอบรับกลับมา แน่นอนเค้าจะไม่ได้ตอบถึงนักเรียนนะ เค้าจะตอบเข้าโรงเรียน โรงเรียนจะแจ้งน้องว่าคนนี้เค้าจะเชิญเราไป interview เค้าก็จะช่วยฝึกเราทางด้านออกไป interview อยู่ดีๆ จะปล่อยนักเรียนไป interview ก็กระไรอยู่ ก็จะช่วยในการออกไป interview บางที่ถ้าเกิดเป็นสถานประกอบการใหญ่ๆ หรือว่ายอดนิยม เค้าอาจจะขอให้นักเรียนไป Try ก่อนที่จะเลือกนักเรียน จะแนะนำไปว่าตอนทดลองงานเราควรทำแบบไหน จนถึงขนาดว่าถ้าน้องผ่าน น้องได้สัญญาโรงเรียนก็จะช่วยดูเรื่องสัญญาให้หรือบางที่เค้าจะให้โรงเรียนร่างสัญญาให้ โรงเรียนเค้าก็จะร่างให้นะ เพราะว่าอย่าลืมว่าเค้าจะต้องใช้ภาษาราชการของสวิตนะคะ สัญญาจ้างเราทำงานที่สวิตฝั่งเยอรมันอย่างงี้ อย่างลูเซิร์นเราก็เป็นสวิสฝั่งเยอรมันเนอะสัญญาจ้างงานก็เป็นภาษาเยอรมัน หรือว่าถ้าไปพวกเจนีวา โลซาน สัญญาจ้างงานก็จะเป็นภาษาฝรั่งเศสทางโรงเรียนก็จะช่วยดูให้ว่าเป็นธรรม ได้เงินด้วย
ฝึกงานทั้งหมดของสวิสทุกทีเราได้รับเงินการันตีขั้นต่ำประมาณ 2,218 ฟรังค์ หรือว่าเวลาพี่แนะนำเป็น USD ง่ายดีก็คือ US$ 2,200 มากกว่านี้แหละแต่ขอเป็นเลขกลมๆ แล้วกัน $US 2,200 / เดือนนะคะ แล้วก็แน่นอนนักเรียนที่มาเรียนกับเรา บางคนเพิ่งจบม.6 อ่ะน้องเกล สมมุติมาเรียนกับพี่ 17.5 ปีบริบูรณ์อ่ะนะ พอไปฝึกงานก็แค่ 18 ปีเอง ตอน 18 น้องเกลทำอะไรอยู่โตหรือยัง สำหรับพี่อายุ 18 ก็ยังไม่โต ก็เลยเข้าใจ เพราะฉะนั้นเวลาที่น้องๆ ต้องออกไปฝึกงานเค้าก็ต้องมี แน่นอนว่าต้องพบความลำบากบ้าง อาจจะงอแงบ้าง เราก็จะมีทีมงานไปตรวจสอบ ไปเยี่ยมเยียนน้องๆ หรือถ้าน้องๆ มีปัญญาก็สามารถติดต่อกลับมาที่โรงเรียนได้ อย่าเพิ่ม ไม่ใช่ว่าทิ้ง จะต้องทำอะไรตัดสินใจคนเดียว ก็สามารถติดต่อกลับมาที่โรงเรียนได้ เค้าจะมีทีมงานช่วยเหลือนะคะ
York: เรียกได้ว่าเตรียมครบวงจรเลย ตั้งแต่เรื่องการจัดหา ต้องพูดคุยกันก่อนว่าน้องอยากได้อะไร ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ อ้าวน้องฝึกที่โรงแรม A B C อะไรงี้ คือไม่ใช่ใช่ไหมคะ คือดูความต้องการของตัวน้องเป็นหลักด้วย แล้วก็ดูเรื่องของทักษะที่น้องมีว่าควรจะทำแบบไหนแนวไหนแล้วก็ดูแลในเรื่องของการ sign contract ทั้งสัมภาษณ์ interview ต้องบอกก่อนค่ะว่าของที่สวิสทุกคนต้องไปสัมภาษณ์นะคะ ถึงแม้ว่าโรงเรียนจัดหางานให้ดูแลในเรื่องของการหางานให้ แต่ว่าสุดท้ายแล้วน้องๆ จะต้องเป็นคนที่เข้าไปสัมภาษณ์งานกับนายจ้างเองนะคะ
BHMS: ใช่อันนี้อยากย้ำ อย่าลืมว่าเราไปทำงาน เราได้เงิน ก็ถึงเค้าจะใช้คำว่าฝึกงาน แต่เราไปทำงานจริงๆ เราเป็นพนักงานจริงๆค่ะน้องเกล บางทีเค้าติดภาพการฝึกงานจากไทยว่าไปซีร็อค เสิร์ฟกาแฟ หรือยืนดู แต่ที่สวิสเราต้องลงมือทำจริงๆ มีความรับผิดชอบจริงๆ เพราะฉะนั้นต้องผ่านการสัมภาษณ์เหมือนการหางานปกติเลยค่ะ เพราะฉะนั้นเวลาที่นักเรียนจบแล้ว เค้าจะมีความเชี่ยวชาญทางด้านการหางาน การทำงานเป็นพิเศษเพราะเค้าได้ผ่านมาทุกขั้นตอนล่วงหน้ามาอยู่แล้ว พี่นึกถึงสมัยตัวพี่เองอ่ะ ตอนจบปริญญาตรีครั้งแรกไปสัมภาษณ์งานตื่นเต้นมากเลยเนอะ แต่กับน้องๆ BHMS ค่อนข้างน่าอิจฉาเพราะว่าเค้าจะชินมาก ทำมาตั้งแต่อยู่ปี 1 แล้วอ่ะ ตั้งแต่อายุ 18 ปี อะไรงี้ ใช่ เพราะฉันนั้นเค้าก็จะค่อนข้างชินและเชี่ยวชาญ
York: แล้วก็อย่างที่พี่กิ๊กบอกเลยเมื่อกี้ว่าถ้าน้องฝึกในสวิสจะได้รับค่าตอบแทนอยู่ที่ 2,218 ฟรังค์ ต่อเดือน พี่แอบคำนวณเป็นเงินไทยให้และ เมื่อกี้คำนวณจากเรทสัก 34 ประมาณนี้ก็จะอยู่ที่ 7หมื่นกว่าบาท 75,000 ต่อเดือนตอนนี้สำหรับการฝึกงานที่สวิส แล้วก็ต้องถามพี่กิ๊กอีกนิดนึงว่านอกจากฝึกงานที่ประเทศสวิสแล้ว น้องสามารถไปฝึกงานที่อื่นได้ไหม อย่างบางคนอาจจะฝึกในยุโรป อยากไปฝึกอีกประเทศหนึ่งอะไรอย่างงี้
BHMS: ได้เลยค่ะ ก็ฝึกงานประเทศอื่น เราก็จะมีฝ่ายจัดหางาน เราจะเรียกว่า international placement โดยเฉพาะนะคะ สำหรับบางคนไปเรียนกับเรา 3 ปีแล้วแน่นอนเค้าก็อาจจะไม่ได้อยากฝึกที่สวิสเหมือนเดิมนะ เค้าก็อยากขยายประสบการณ์เพิ่มพูนประสบการณ์ในต่างประเทศก็สามารถไปได้ค่ะ ซึ่งพี่ก็มีนักเรียนไทย ขอยกตัวอย่างนักเรียนไทยละกันเนอะ มีนักเรียนไทยไปฝึกที่เบลเยี่ยมก็มี สเปนก็มีนะน้องเกล ฝรั่งเศสก็มีมาแล้วนะคะ หรือว่าแปลกไปกว่านั้นก็มีมัลดีฟ ไปทำถึงจาไมก้าก็มี เก่งมากเลย แล้วก็ประเทศยอดฮิตสไตล์ดูไบก็มี หรือฝั่ง US ก็มีนะคะ
เพราะฉะนั้นแล้วว่าเราสามารถฝึกงานประเทศอื่นๆ ได้ด้วย แต่ต้องบอกก่อนเนอะ อาจจะต้องเตรียมใจในระดับนึงว่าประเทศอื่นๆ เราก็จะไม่ได้เงินเดือนการันตีขั้นต่ำ US$ 2,200 เหมือนฝั่งสวิส นะคะ เพราะฉะนั้นสวิส เป็นคำสั่งมาตั้งแต่ระดับรัฐบาลเลยอ่ะนะ ว่าถ้าฝึกที่อื่นเราก็จะมี Benefit หรือ incentive แตกต่างกันไป บางที่อาจจะเงินเดือนน้อยหน่อย ให้ที่พักให้อาหาร ให้ยูนิฟอร์มฟรี อย่างงี้ หรือบางทีไปฝึกดูไบเงินเดือนไม่เยอะ แต่ได้ค่าที่พัก อาหาร และตั๋วเครื่องบินฟรี อะไรอย่างงี้ เพราะฉะนั้นก็ต้องดูด้วยนะคะ พี่คิดว่าถ้าเราจะไปขยายประสบการณ์เพิ่มพูนประสบการณ์ก็ไปเถอะถ้าเรามีโอกาส อย่างบางคนที่เรียน 3 ปี มีโอกาสเยอะนะ ก็สามารถลองฝึกประเทศต่างๆ ดูได้ด้วย
York: แล้วพูดถึงตัวงานดีกว่า น้องๆ บางคนอาจจะสงสัยว่าเอ ฝึกงาน งานที่โรงเรียนหาให้มันเป็นงานประเภทไหนบ้าง มีอะไรให้น้องๆ บ้าง ถามพี่กิ๊กก่อนเลยดีกว่าค่ะ
BHMS: ก็ถ้าเกิดเป็นงานที่ลักษณะเป็น Business Partner ของเราตัวงานก็ที่พี่กล่าวไปเบื้องต้นแล้วว่า น้องๆ สามารถไปฝึกงานได้หลายประเภท ตั้งแต่ร้านอาหาร ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า hospitality มันมีอะไรกันบ้าง เราจะเห็นได้ว่าตัวอย่าง Business Partner ตรงนี้จะมีโรงแรมใช่ไหม แต่ดูสิว่ามันก็มีพวก Luxury Brand ซึ่ง Luxury Brand ก็อยู่ใน Hospitality หรือว่าจะเป็นสไตล์สถานพยาบาลที่พี่เคยบอกมาแล้ว หรือว่าเป็น Airline, Airport นะคะ
ก็สรุปที่น้องเกลถามพี่ว่าเฉพาะการฝึกในสวิสน้องๆ ก็สามารถฝึกในอุตสาหกรรม hospitality ที่ครอบคลุมหลายด้าน อย่างบางคนก็แน่นอนฝึกร้านอาหาร โรงแรมต่างๆ สวิสเค้าก็จะมีโรงแรมหลายประเภทนะคะน้องเกล มีตั้งแต่ระดับ local ซึ่งโรงแรม local เค้าก็ค่อนข้างจะดัง เพราะสวิสจะมีโรงแรม local หลายที่ เวลานึกถึงโรงแรม local น้องๆ บางคนไม่รู้จัก นึกถึงบูทิค โฮเทล เทียบกับของเรา ไม่ใช่นะ โรงแรม local ของสวิสบางที่ก็ 4-5 ดาวใหญ่มากนะ แล้วก็โรงแรมพวก Chain ต่างๆ ก็มี หรือมีพวก Luxury Brand เพราะว่าสวิสเป็นเมืองท่องเที่ยวเค้าก็จะมีร้านขายของแบรนด์เนม ขายของที่ระลึก หรือขายนาฬิกา ซึ่งเค้าก็รับนักเรียนเข้าไปฝึกงานด้วยนะคะ แล้วก็จะมีเหมือนที่น้องของน้องเกล ถ้าเกิดว่าใครได้ติดตาม York ก็จะเห็นว่ามีสัมภาษณ์นักเรียนจาก BHMS ซึ่งอันนั้นน้องเค้าก็ได้ไปฝึกสถานพยาบาลซึ่งก็น่าสนใจมากนะคะ หรือบางคนไปฝึกพวกศูนย์ประชุมของบริษัทหลักๆ ก็มี เพราะว่าศูนย์ประชุมก็เป็นส่วนนึงของ Hospitality เหมือนกันนะก็คือสามารถได้หลายได้ในธุรกิจของ Hospitality นะ
York: ก็ถือว่าค่อนข้างหลากหลาย เพราะบางคนอาจจะมองว่า Hospitality ต้องเป็นโรงแรมเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว Hospitality ก็มีอื่นๆ ให้เลือกเยอะมาก น้องๆ ก็สามารถเลือกฝึกได้ตามความต้องการของน้องเลยนะคะ แล้วทีนี่มาถามเรื่อง อย่างที่เห็นนะคะว่าโรงเรียนมีสอนอะไรบ้างมีบริการอะไรบ้าง ทีนี่เรามาพูดถึงค่าเรียนเลยดีกว่า น้องๆ อาจจะสงสัยว่าแล้วแบบนี้จะต้องจ่ายค่าเรียนอย่างไร จ่ายเท่าไร แพงมากไหม ให้พี่กิ๊กตอบดีกว่าค่ะว่าตอนนี้ค่าเรียนอยู่ที่เท่าไร
BHMS: ค่าเรียนนะคะ ต้องบอกก่อนว่าราคาของเรามันจะไม่ใช่แค่ค่าเรียนนะคะ เห็นไหมว่าค่าเรียนเป็นแค่ส่วนเดียว เพราะฉะนั้นเห็นไหมคะราคาที่ BHMS แนะนำจะครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่ค่าเล่าเรียน ค่าอาหารทุกมื้อ ค่าที่พัก แต่ว่าค่าที่พักในที่นี่จะเป็นแชร์รูม นะคะ น้องๆ ก็นิยมอยู่กันก็คือมีรูมเมทอ่ะนะ หรือว่าถ้าใครอยากจะอัพเกรดกันก็อาจจะเสียเพิ่ม ส่วนมากพี่ก็แนะนำให้อยู่แชร์รูมเถอะ แล้วก็มีครอบคลุมแม้กระทั้งค่าประกันสุขภาพอ่ะน้องเกล ค่าประกันสุขภาพเขตยุโรปทั้งหมดเลย แล้วก็ครอบคลุมไปถึงไปรับที่ airport ทั้งหมดเลย
เมื่อนักเรียนมาถึงสวิสเซอร์แลนด์แล้วก็ BHMS รวมทั้งค่าดำเนินการในการ internship และก็ค่าบริการในการทำวีซ่าอ่ะนะ แล้วค่าพาไปทัศนศึกษาทุกสัปดาห์ อันนี้จะเป็นส่วนประกอบหลักของค่า fees ของเรานะคะ ซึ่งค่า fee ของเรา BHMS พยายามจะรักษาถ้าหักจาก Scholarship ไปแล้วพยายามรักษาไม่ให้เกิน 1 ล้านบาท เพราะเราคิดว่ามันยังเป็นจำนวนที่นักเรียนยังค่อนข้างสมเหตุสมผลนะคะก็ประมาณนี้ ซึ่งแต่ละคอร์สก็จะแตกต่างกันเล็กน้อยแต่ว่าไม่ถึงล้านก็มาเรียนได้เนอะ ถ้าใครอยากรู้ค่า fees แต่ละคอร์สอย่างละเอียดก็สามารถติดต่อทาง York ได้นะ แต่พี่แนะนำไว้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงมันจะไม่เกิน 1 ล้านบาทอยู่แล้วนะคะ
York: แล้วก็ที่สำคัญตอนนี้มี Scholarship ด้วย
BHMS: ใช่ตอนนี้มัน Scholarship ด้วย แต่ต้องบอกก่อนว่ามันไม่ใช่ Scholarship Covid นะ บางคนคิดว่าเอ เป็น Scholarship Covid หรือเปล่านะ ไม่ใช่นะ เป็น Regional Scholarship ที่ช่วยนักเรียนภูมิภาคของพี่เนอะ จะมี Scholarship ตั้งแต่ 4,000 ฟรังค์ ไปถึง 6,500 ฟรังค์ ก็แล้วแต่หลักสูตรนะคะ ถ้านักเรียนสนใจติดต่อมาทางพี่เกลได้ แต่พี่เกลก็จะมาเช็คกับพี่ แต่ทุกคนได้ Scholarship อยู่แล้วไม่ต้องห่วง หักออกไปจาก Total fee เลยนะคะ ก็ค่อนข้างน่าสนใจ แต่ Scholarship แน่นอนมันก็ต้องมีวันหมดอายุนะน้องเกล สำหรับนักเรียนที่จะเข้าเรียนภายในปีนี้ แต่ว่าเราก็เข้าใจแหละ บางคนก็อาจจะยังไม่อยากบินนะคะ หรือยังไม่สะดวกที่จะไปภายในปีนี้ ถ้าเกิดสะดวกสมัครไว้ได้รับ Scholarship ตั้งแต่ปีนี้ เดี๋ยวสามารถย้ายไปปีหน้าได้ภายในกลางปีหน้าก็ได้
York: แอบบอกนิดนึงว่าค่าใช้จ่ายหลังหัก Scholarship แล้วนี่เคยแอบคำนวณเหมือนกัน บางสาขาไม่ถึงล้านด้วยซ้ำ
BHMS: พี่เคยบอกแล้ว ว่าเราพยายามรักษาไม่ให้เกิน 1 ล้านบาทเพราะ BHMS ก็เคยมีประสบการณ์กับนักเรียนไทยมายาวนานอ่ะนะ อย่างพี่แค่เฉพาะทำงานที่นี่ก็ 7-8 ปีมาแล้วอะคิดดูแล้วก่อนพี่อีกอ่ะ เค้าก็มีประสบการณ์กับนักเรียนไทย เราจะเข้าใจเลยว่าผู้ปกครองแฮปปี้และคุ้มค่าที่จะจ่ายประมาณนี้ ที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท
York: ใช่ค่ะ หลายคนอาจจะคิดว่า ค่าใช้จ่ายในการไปเรียนที่สวิสมันต้องราคาแพง แต่จริงๆ แล้วบอกนิดนึงว่า อันนี้ไม่ใช่แค่ค่าเรียนอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึง ค่าอาหาร ที่พัก ประกันสุขภาพ รถรับสนามบิน ค่าinternship ค่าวีซ่า มีทั้งพาไปเที่ยว ต้องบอกว่านี่ทุกอย่างคือรวบรวมไว้ทั้งหมดแล้ว คืออยู่ในBudget นี้แล้วน้องๆ ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติมแล้ว โอเคเดี๋ยวถามพี่กิ๊กนิดนึงว่าหลังจากที่น้องๆ จ่ายค่าเรียนทุกอย่างแล้วไปเรียนที่นั่นแล้ว มีค่าใช้จ่ายอะไรอีกบ้าง น้องต้องพกเงินไว้จ่ายอะไรเพิ่มเติมบ้างคะ มีไหมคะ
BHMS: ที่จริงเป็นคำถามที่พี่ไม่ชอบตอบมาที่สุด น้องเกลรู้ไหมว่า เพราะว่ารัฐบาลสวิสและ Luzern Migration แนะนำว่านอกจาก total fee ที่พี่บอกไม่เกินล้าน แล้วแต่ละเดือนนักเรียนควรมีเงินเดือนละเท่าไร รัฐบาลสวิสและ migration เค้าบอกว่าแต่ละเดือนนักเรียนควรมีเงินติดไว้เดือนละ 500 CHF น้องเกลมันน้อยมากสำหรับขนาดที่ว่าน้องเกลอยู่เมืองไทย น้องเกลยังใช้มากกว่านี้ น้องๆ
York: อาจจะสงสัยว่า 500 CHF เป็นเงินเท่าไร เดี๋ยวพี่คำนวณให้ดู 17,000 บาทค่ะ
BHMS: เพราะฉะนั้นพี่กิ๊กต้องขอออกตัวก่อน เพราะอย่างเด็กปัจจุบันจะสนิทกับพี่เค้าก็บอก พี่กิ๊กทำไมไปแนะนำน้อยจังเลย เพราะน้องๆ ก็อยากเที่ยวบ้าง อยากกินนู้นกินนี่บ้าง ช้อปปิ้ง อันนี้ต้องบอกก่อนว่าเป็นจำนวนที่รัฐบาลสวิสเค้าแนะนำว่านักเรียนควรมีสำรองเอาไว้สำหรับฉุกเฉิน แน่นอนเด็กของพี่บางคนใช้น้อยกว่านี้ 300 CHF ต่อเดือน หรือบางคนถ้าเกิด แล้วแต่ lifestyle บางคนชอบเที่ยวชอบช้อปปิ้งอ่ะนะก็อาจจะใช้มากกว่านี้ แต่ว่าถ้าเกิดโดยรวมแล้วเป็น lifestyle ปกติสามารถทานอาหารโรงเรียนปกติ ไปเที่ยวกับโรงเรียน เพราะโรงเรียนก็มีไปเที่ยวฟรี มีกิจกรรมฟรีให้ เฉพาะนั้นแต่ละเดือนก็เตรียมตัวไปประมาณ 500 CHF ก็อยู่ อันนี้เป็นคำแนะนำจากรัฐบาลสวิสเลยนะคะ
York: ก็ถือว่าโอเคเลยนะ ระหว่างน้องเรียนที่นั่นที่เมื่อกี้บอกไปว่าที่จ่ายค่าเรียนไปก็รวมหมดแล้ว ผู้ปกครองบางท่านอาจจะมีคำถามว่า แล้วอย่างงี้จะมีเรียกเก็บเงินอะไรน้องจุกจิกอีกไหม ถ้าเป็นสิ่งที่โรงเรียนเก็บเพิ่ม มีไหมคะ
BHMS: อ่อถ้าโรงเรียนเก็บเพิ่มก็จะเป็นพวกค่าซักผ้าเนอะ อย่างเช่นว่า แน่นอนมันต้องมีการซักผ้าอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเกิดเราเรียนสไตล์ hospitality หรือที่ต้องดูแลเรื่องบุคลิกภาพของตนเอง ความสะอาดก็สำคัญ ค่าซักผ้าเนี้ย ก่อนอื่นนักเรียนก็จะไปซื้อบัตรซักผ้าก่อนก็อยู่ที่ประมาณ 30 CHF นะคะ แต่ไม่ใช่ซักทีเดียวหมดเรียบ 30 CHF นะน้องเกล มันซักและอบทีนึงก็จะประมาณ 3-5 CHF ค่ะ แล้วแต่ปริมาณที่เราหมักเอาไว้น่ะน้องเกล ถ้าเป็นน้องเกลก็อาจจะครั้งละ 10 CHF มั้ง ล้อเล่น ก็จะเป็นประมาณ 3-5 CHF นะคะ อันนี้ก็จะเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม นอกนั้นก็เป็นค่าใช้จ่ายที่เราต้องดูแลเองซึ่งไม่เกี่ยวกับโรงเรียน เช่นเครื่องสำอางของเรา แชมพู สบู่ หรือว่าอยู่ดีๆ น้องเกลเดินผ่าน สตาร์บัคอยากกินเพิ่มงี้ เจอร้านขนมสวยๆ เก๋ๆ อยากกินเพิ่ม อันนี้คือแน่นอนเราก็จ่ายของเราเองเนอะ มีอีกอันนึงก็จะมีค่าสอบซ่อมอ่ะนะน้องเกล แต่ไม่อยากแนะนำเลยนะ ค่าสอบซ่อมก็ไม่แพงนะวิชาละ 100 CHF แต่นี่ไม่ใช่ชี้โพรงว่าให้เตรียมสอบซ่อมกันนะคะ ไม่ต้องมีเสียเงินตรงนี้จะดีที่สุด
York: ก็จะเห็นว่าค่าใช้จ่ายที่โรงเรียนเรียกเก็บตั้งแต่ตอนแรกมันก็ครอบคลุมแทบจะทั้งหมดแล้ว ก็อาจจะมีแค่ค่าซักผ้าที่เป็นจุกจิก เล็กๆ น้อยๆ ที่น้องจะต้องจ่าย นอกนั้นก็ไม่มีแล้วเนอะ ถ้าไม่รวมสอบซ่อม ฮ่าๆ แล้วก็อีกอย่างนึงเรามีประกันสุขภาพด้วยใช่ไหมคะ ประกันสุขภาพที่โรงเรียนทำให้กับน้องๆ น่ะค่ะ อันนี้คือครอบคลุมยังไงบ้างคะ หมายถึงว่าเวลาน้องป่วย ไม่สบาย คือไปหาหมอน้องไม่ต้องสำรองจ่ายเองเลยหรือเปล่าคะ
BHMS: อ่อ ประกันสุขภาพ ต้องบอกก่อนเลยค่ะว่าปกติประกันสุขภาพที่สวิสน่ะ มันต้องมีจำนวนที่เรารับผิดชอบเองน่ะค่ะ จำนวนที่เรารับผิดชอบเอง 100 CHF แรก ทั้งปี เค้าจะเรียนว่า Deductible Cost น่ะค่ะสมมุติว่าปีนี้น้องเกลจะใช้ประกันสุขภาพใช่ไหม ถ้าเกิดค่าใช้จ่ายอะไรขึ้นมาเราต้องรับผิดชอบเองก่อน 100 CHF แต่ทั้งปีนะ เช่นเป็นหวัดครั้งแรกเสีย 70 CHF ใช่ไหมคะ 70 CHF เราต้องจ่ายเอง แต่ครั้งที่สอง เสีย 50 CHF เราก็ชำระเงินเพิ่มอีก 30 CHF ที่เหลือประกันก็จะ cover ออกให้หมดนะคะ แต่ว่าประกันจะไม่ cover ที่ขอพวก Fit to Fly ที่บินกลับมาบ้านเราน่ะค่ะน้องเกล แต่ว่าตอนนี้ ช่วงวิกฤตแบบนั้นก็ผ่านพ้นไปแล้วเนอะ ก็คือแค่เล่าให้ฟังนอกนั้นประกันจะ cover หมด ยกเว้นความสวยความงามและฟัน นะคะปลูกผม ซึ่งก็เป็นความสวยความงามเนอะ แต่ถ้าพวกภูมิแพ้อะไรต่างๆ เค้าก็ครอบคลุมด้วยนะคะ
York: อ่อ โอเค ซึ่งก็ถือว่าไม่แพงนะสำหรับที่ต้องจ่าย 100 CHF เพราะว่ามันก็ประมาณสามพันกว่าบาทเท่านั้นเองค่ะ ตอนนี้โรงเรียนเป็นยังไงบ้างคะ คือตอนนี้โรงเรียนมีเปิดการเรียนการสอนเป็น face to face แล้วหรือยังคะ
อ่านบทสัมภาษณ์ตอน 3 ต่อได้ที่ link ด้านล่างนี้เลยนะคะ
(ตอน 3) live สดกับคุณกิ๊ก ASEAN Regional Manager ของสถาบันการโรงแรมระดับโลกที่สวิตเซอร์แลนด์ BHMS