Blogs
(ตอน 2) live สดจาก Melbourne ทัวร์สถาบันภาษา Impact English College กับคุณแนต, คุณโอ๊ต และคุณ Mike, Student Advisor
(ต่อจากตอน 1)
พี่แน็ต Impact : ต้องบอกก่อนเลยเนอะว่าโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนภาษาอย่างเดียว แต่ว่าผลการเรียนของเราเนี่ยมีหลายสถาบันที่ยอมรับผลการเรียนภาษาจากเรา เพราะฉะนั้นถ้าน้องๆ เรียนจนไปถึงระดับนึงที่ เป็น Qualification ที่หลายๆ สถาบันยอมรับอย่างเช่น TAFE Queensland, William Angliss, Academia และอีกหลายๆ สถาบันค่ะ อย่างน้องๆ หลายคนพอมาเรียน Impact เขาก็จะดูไว้ว่าอยากไปเรียนที่ไหนต่อ ก็มีน้องๆ หลายคนนะคะที่เขาจะมาบอกว่าอยากไปเรียนที่ William Angliss พี่แนตก็จะแพลนให้เลยว่าเรียน General English ก่อนนะคะพอได้ภาษาระดับนึงก็ขึ้นไปฝึก boot skill ขึ้นมาก่อนให้เป็น Academic ก็จะไปเรียนเป็น Extreme English หลังจากนั้นก็ไปเรียน IELTS พอจบ IELTS Upper-Intermediate แล้วเนี่ยน้องๆ ก็จะสามารถใช้ Certificate ตรงนี้ไปเข้าเรียนที่ William Angliss ได้เลยค่ะ และก็มีหลายสถาบันนะคะที่รับผลภาษาของเรา โดยที่น้องๆ ไม่ต้องสอบ IELTS ค่ะโดยเขาจะเทียบเท่าให้ที่ 5.5 เลยค่ะ อันนี้ก็จะเป็นตัวอย่างคร่าวๆ ค่ะ
York Institute : นอกจากนี้เห็นว่าโรงเรียนได้รับรางวัลเยอะมากในแทบทุกปีเลยส่วนใหญ่เป็นรางวัลอะไรบ้างคะ
P’Nat Impact : รางวัลที่เราได้เนี่ยนะคะ Victoria international education awards เป็นรางวัลทางด้าน เป็นผู้นำทางด้านการเรียนการสอนที่ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ก็ได้รางวัลจาก ทางรัฐบาลด้วยค่ะ
York Institute : เรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนที่มีรางวัลการันตีมากมายในเรื่องคุณภาพการเรียนการสอนของที่นีนะคะรับรองว่าน้องๆที่มาเรียนที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ
ทีนี้มาพูดถึงเรื่องความเป็นอยู่กันบ้างดีกว่าว่า โดยปกติแล้วโรงเรียนมีที่พักแบบไหนให้น้องๆเลือกบ้างคะ
P’Nat Impact : โรงเรียนจะจัดหาที่พักให้น้องมี 2 แบบนะคะ
- Homestay ก็คือจะอยู่กับบ้านที่เป็นฝรั่งน้องๆก็อาจจะต้องนั่งรถเดินทางมาเรียนนิดนึงเพราะส่วนใหญ่ฝรั่งเนี่ยเขาจะอยู่นอกเมืองนิดนึง ใช้เวลานั่งรถ 15-30 นาที ข้อดีก็คือน้องๆจะได้อยู่กับครอบครัวฝรั่งได้ฝึกการใช้ภาษาไม่ต้องห่วงว่ามาแล้วจะน่ากลัวมั้ยเพราะมี ทาง Homestay คอยช่วยดูแล
- Student Residence อันนี้ก็จะเป็นแบบน้องๆอยู่กันเอง จะเป็นห้อง เหมือนกับเป็นอพาร์ทเมนต์สำหรับนักเรียนอันนี้ก็จะเป็นอีกอย่างนึงที่มีความอิสระนิดนึงไม่ไกลจากโรงเรียนมากจะอยู่ในเมืองค่ะ
York Institute : เรียกได้ว่าถ้าอยากอยู่ ในเมืองและอยากอยู่เองแบบอิสระก็แบบที่ 2 นะคะ แต่ถ้าอยากจะเรียนรู้วัฒธรรมชีวิตของคนที่นั่นก็เลือกเป็น Homestay นะคะ
P’Nat Impact : ถ้าน้องๆ มาแรกๆ ก็อาจจะลองไปอยู่แบบ Homestay นิดนึงก่อนแล้วค่อยย้ายมาอยู่ Student Residence ก็ได้นะคะเพราะเราจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมของคนที่นี่ด้วยซักแป๊ปนึง
แต่ส่วนใหญ่น้องที่มาอยู่ Homestay แล้วจะอยู่ต่อยาวค่ะ เพราะมีความสุขที่จะอยู่กับครอบครัวฝรั่งจริงๆ และก็เป็นโอกาสที่ดีที่ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของเขาด้วยนะคะ
York Institute : ทีนี้เรามาพูดถึงเรื่องค่าครองชีพค่ะ การจะไปอยู่ที่ Melbourne เนี่ยค่ะ ค่าครองชีพต่อเดือนที่รวมค่าที่พักแล้วอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่คะ
P’Nat Impact : ค่าครองชีพเนี่ยพี่แนตต้องบอกก่อนเลยว่าขึ้นอยู่กับน้องๆแต่ละคนด้วยนะคะว่าเลือกที่พักแบบไหนถ้า Homestay ค่าที่พักก็จะอยู่ที่ AU$ 200 กว่า ถึง AU$ 300 ต่อสัปดาห์ค่ะ ส่วน Student Residence ก็จะ AU$ 200 ต่อสัปดาห์เหมือนกัน ส่วนถ้าน้องๆ อยู่ในเมืองแบบ Share House อันนี้ก็จะถูกลงมาหน่อยแต่ความเป็นส่วนตัวก็จะหาได้ยากนิดนึงแต่ก็เป็นการเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบแชร์กับผู้อื่น ราคาก็จะอยู่ 100 กว่าๆ ต่อสัปดาห์ ค่ะ
ส่วนค่ารถที่นี่ก็จะมีบัตรเติมเงินนะคะราคา บัตรเติมเงิน Myki card เดือนนึงจะอยู่ที่ประมาณ AU$ 150 นะคะอันนี้ใช้ได้หมดเลยเหมาจ่ายเดือนนึง AU$ 150
ส่วนน้องๆที่อยู่ในเมืองก็จะประหยัดนิดนึงเพราะไม่มีค่าใช้จ่ายตรงนี้นะคะ
ส่วนค่ากินถ้าน้องๆ ออกไปทานข้าวข้างนอกจะค่อนข้างแพงนิดนึง อาหารที่นี่ค่อนข้างแพงนิดนึง แต่ถ้าน้องทำอาหารทานเองอาทิตละประมาณ AU$ 100 กว่า ก็น่าจะอยู่ได้ค่ะ ก็จะประมาณนี้ค่ะขึ้นอยู่กับน้องๆเลยว่าเลือกแบบไหนค่ะ
York Institute : คิดให้น้องๆคร่าวๆแล้วกันนะคะว่าถ้าอยู่แบบไม่ได้ไปทานข้าวนอกบ้านบ่อยๆและเลือกที่พักไม่ได้แพงมาก ก็ตกเดือนละประมาณ AU$ 1,000 แต่สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับน้องๆด้วยค่ะว่าชอบใช้จ่ายแบบไหนช้อปปิ้งกันเยอะแค่ไหนด้วย
P’Nat Impact : ตรงนั้นแหละค่ะที่พี่แนตไม่สามารถคำนวนให้ได้เลย
York Institute : แล้วอาหารการกินที่นั่นเป็นยังไงบ้างคะ มีร้านอาหารไทย มีซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ซื้อของไทยได้มั้ยคะ เพราะน้องๆบางคนคงสงสัยว่าไปอยู่ที่นั่นต้องทานแต่อาหารฝรั่งตลอดเลยรึป่าว
P’Nat Impact : ค่ะที่ Melbourne ก็จะมีร้านอาหารไทย และตลาดไทยด้วย มีร้านอาหารเวียดนาม อาหารจีน ด้วยค่ะ
อาหารไทย ของไทย น้ำพริก พริกแกง เครื่องเทศอะไรต่ออะไร จะมีขายค่ะ ที่นี่ของกินหาง่ายค่ะ และน้องที่ต้องการทานอาหารไทย ร้านอาหารไทยที่นี่มีอยู่ทั่วเมืองเลยค่ะ และปกติเนี่ยร้านอาหารที่นี่บางร้านเปิดถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่ง กันเลย แต่ส่วนมากน้องๆที่มาที่นี่จะไม่ค่อยทานอาหารไทยกันค่ะ น้องๆจะชอบไปทานอารเกาหลี อาหารญี่ปุ่น อาหารจีน กันเป็นส่วนใหญ่ค่ะ
P’Oat Impact : ขออนุญาตครับพอดีเห็นพูดเรื่องอาหารก็เลยอยากเข้ามาร่วมด้วย
York Institute : แสดงว่าพี่โอ๊ตต้องมีอะไรแนะนำดีๆ แน่เลย
P’Nat Impact : ใช่เลยค่ะพี่โอ๊ตเป็นสายกินค่ะ
P’Oat Impact : ใช่พี่อยากบอกเพิ่มเติมอย่างนึงคือ ข้อดีของ Melbourne ก็คือเป็นเมือง Multicultural City เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมคือหมายถึงว่าจะมีชาวต่างชาติเนี่ยมาจากทั่วทุกมุมโลกเลยมาตั้งรกรากกันอยู่ที่นี่เพราะฉนั้นมาอยู่ที่นี่จะได้กินอาหารไม่ซ้ำกันเลยซักวันนึง จะมีทั้ง อาหารเกาหลี เวียดนาม ไต้หวัน ไทย มาเล อินโด โคลัมเบีย สเปน ร้านอาหารเยอะมากมีมาจากทั่วทุกมุมโลกเลยนี่ก็เป็นสเน่ห์อีอย่างของ Melbourne ครับ
York Institute : หลากหลายมากเลยนะคะ
P’Oat Impact : ใช่ครับ
P’Nat Impact : ค่าใช้จ่ายบวกไปนิดนึงนะคะ
York Institute :
P’Oat Impact : ต้องบวกอีกนิดนะครับถ้าชอบทานข้าวนอกบ้าน
York Institute : รับรองเลยว่าน้องๆที่เลือกมาที่นี่ไม่อดแน่นอนยังไงก็มีอาหารให้เลือกกันหลากหลายที่ Melbourne ไม่ผิดหวังแน่นอน
York Institute : ทีนี้เรื่องของการทำงานน้องส่วนใหญ่เนี่ยก็อยากจะทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วยถ้าเลือกมาที่นี่
P’Nat Impact : อันนี้อาจจะช่วยเรื่องค่าอาหารของน้องๆได้ค่ะ เรื่องงานให้พี่โอ๊ตช่วยแนะนำเลยค่ะ
P’Oat Impact : ได้ครับถ้าน้องๆคนไทยส่วนใหญ่ก็จะทำงานร้านอาหารไทย มีตำแหน่งที่ทำงานในครัว มือผัด มือแกง มือทอด และงานหน้าร้านสำหรับน้องๆที่ได้ภาษาอังกฤษมาในระดับนึงแล้วสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้จะออกมาทำงานหน้าร้าน เป็น Customer service เป็นเด็กเสริฟ แล้วก็น้องบางคนเขาก็จะมีความสนใจเรื่องกาแฟเขาก็จะมาลงเรียนคอร์ส Barista และไปทำงานเป็น Barista และ All-rounder งาน All-rounder ก็จะไม่ได้อยู่แค่หน้าเครื่องกาแฟ แต่ต้องเดินฟลอด้วย รับออเดอร์ด้วย ก็เป็นการได้ฝึกภาษาเหมือนกันน้องๆ ก็เริ่มมาทำงานบาริสตา กันเยอะเหมือนกัน แล้วก็งานร้านอาหารฝรั่ง
ถ้าทำงานร้านอาหารฝรั่ง คาเฟ่ ก็จะได้จ่ายดีหน่อย แต่ถ้าทำร้านไทยก็ได้น้อยลงนิดนึง น้องๆก็ค่อยศึกษากันไปเรื่อยๆหางานหันไปเรื่อยๆ อีกงงานนึงก็คืองานร้านนวดไทยเพราะที่นี่ร้านนวดไทยค่อนข้างเยอะ ก็เป็นอีกอาชีพยอดฮิตค่าตอบแทนค่อนข้างดี และงานคลีนเนอร์เป็นคนทำความสะอาด ให้พี่แนตแชร์ประสบการณ์เรื่องคลีนเนอร์หน่อยมั้ยครับ
P’Nat Impact : ค่ะ พี่แนตก็บอกเลยว่า อาชีพเก่าบาริสตา ก็ทำมาแล้ว คลีนเนอร์ก็ทำมาแล้วก็จะจ่ายเรทดีนิดนึง พี่แนตจะบอกว่าหางานได้จากไหนดีกว่าเนอะอย่างพี่แนตได้งานคลีนจากเพื่อน South America งานร้านไทยได้จากเพื่อนไทย ส่วนพวกงานร้านกาแฟหาจากเพื่อนๆเกาหลีที่เขาทำอยู่ แล้วตอนนั้นพี่แนตก็เคยเรียน Barista และฝึกทำกาแฟด้วยก็จะเข้าใจเลยเวลาน้องๆอยากเป็นBaristaพี่แนตจะบอกเลยว่าบางทีต้องฝึกความมั่นใจด้วยเวลาทำกาแฟ อย่างที่ Impact เนี่ยก็มีคาเฟ่ของเราเองในโรงเรียนให้น้องๆได้ฝึกทำจนมั่นใจด้วย และอีกอาชีพนึงก็คือ อาชีพปั่นส่งอาหาร Food delivery ค่ะเป็นอาชีพที่โอเคเลยไม่ว่าจะมี Covid หรือไม่มี Covid
P’Oat Impact : อย่างบ้านเราก็คือพวก Grab ใช่มั้ยครับแต่ที่นี่จะมี Uber eats ซึ่งขี่ส่งอาหารกันกวักไกว่ไปหมดเป็นอาชีพที่เป็นนายตัวเองอยากจะออกไปทำวันไหนก็ไปวันไหนหนาวก็ออยู่บ้านไม่ออกไปทำก็ได้ ซึ่งรายได้ค่อนข้างดีเลย
P’Nat Impact : น้องๆมาแชร์กันว่ารายได้ค่อนข้างดีเลยนะคะแล้วตอนนี้น้องๆก็ยังทำกันอยู่ค่ะ ไม่ต้องกลัวเรื่องงานเลยหลากหลายค่ะ
P’Oat Impact : พี่บอกเลยหลากหลายครับ อาชีพแปลกก็มีนะครับมีรับจ้างจูงหมาเดินด้วยนะครับพี่บอกเลยว่าอยู่ที่ออสเตรเลียถ้าไม่ขี้เกียจไม่อดตายมีเงินไปทานอาหารทุกชาติแน่นอนครับ
พี่โอ๊ตกับพี่แนตนี่ก็ทำมาทุกงานแล้วครับ ถ้ามาอยู่ที่นี่พี่ๆก็แนะนำได้ครับว่ามีงานอะไรตรงไหนบ้าง
York Institute : เรียกว่าที่นี่ดูแลกันถึงเรื่องงาน ครบวงจรเลยนะคะเนี่ย
P’Oat Impact : ครบวงจร One Stop Service เลยครับผม
York Institute : ถามถึงเรื่องการเดินทางในเมืองบ้างดีกว่าที่ Melbourne เวลาน้องๆต้องเดินทางไปไหนมาไหน มีระบบขนส่งสาธารณะอะไรบ้างที่นิยมใช้กันใน Melbourne คะ
P’Nat Impact : อันนี้พี่แนตจะเล่าให้ฟังนะคะ หลักๆเลยการเดินทางใน Melbourne ก็จะมีรถบัส รถไฟ รถแทรม ถ้าพูดให้เห็นภาพเนี่ย แทรมก็คือรถรางอ่ะนะคะ 3 ระบบขนส่งนี้เนี่ยจะเชื่อมกันหมดนะคะ
เพราะฉะนั้นน้องๆที่อยู่ในเมืองนี่ก็จะไม่เสียเงินค่ารถแทรมนะคะ เพราะในเมืองจะเป็นฟรีแทรมโซนนะคะ รถรางรอบเมืองจะฟรี และรถรางจะไปเชื่อมที่สถานีรถไฟก็สามารถไปขึ้นรถไฟต่อได้เวลาจะออกไปไหนไกลๆ หรือจะไปต่อรถบัสก็ไปต่อรถบัสได้เลย
อย่างที่พี่แนตบอกว่าที่นี่จะมีบัตร Myki card จะใช้ได้หมดเลยทั้งขึ้นรถไฟ รถบัส และแทรม แล้วถ้าวันนึงต้องนั่งหลายรอบๆจะนั่งไปไหนก็ตามเนี่ยจะมี Maximum ค่ะเต็มที่ 9AUD ปกติเที่ยวละ 4.5 แต่ถ้านั่งไปแล้ว 2 เที่ยวเนี่ย เที่ยวที่3ขึ้นไปก็จะฟรีเลยจะนั่งไปไหนก็ตามในวันนั้นกี่รอบก็ได้ค่ะ ก็ค่อนข้างจะสะดวกสบายมากนะคะที่ นี่พี่แนตก็มาทำงานด้วยรถไฟนะคะ ส่วนพี่โอ๊ตมารถแทรม ส่วนรถส่วนตัวถ้าน้องๆไปเที่ยวเนี่ยก็จะบริการเช่ารถน้องก็จะเช่ารถกันไป แล้วก็ต้องเตือนนิดนึงอย่าขับรถเร็วค่ะ น้องๆที่นี่เช่ารถแพงเพราะว่าเสียค่าปรับค่ะ ที่นี่จะเข้มงวดเรื่องจำกัดความเร็วในการขับรถ
แล้วก็ที่ Impact Melbourne และ Brisbane เนี่ยทั้งสองที่จะเดินไม่ไกลจากสถานีรถไฟในใจกลางเมืองทั้งสองที่นี่จะตั้งอยู่ในในจกลางเมืองเลยเดินทางสะดวกสบายค่ะแล้วก็อยู่ในโซนฟรีแทรมด้วยค่ะ
York Institute : แบบนี้ถ้าน้องๆอยู่ในเมืองก็จะสะดวกมากๆ เลยนะคะ
P’Nat Impact : ถูกต้องเลยค่ะ
P’Oat Impact : แล้วก็หลังโรงเรียน Impact นี่ก็จะมีอพาร์ทเมนต์นึงค่อนข้างใหญ่ พี่จะเรียกว่าเป็นหอพัก Impact นะครับเพราะว่าเกือบทั้งตึกนั้นจะเป็นเด็ก Impact อยู่เพราะสะดวกมาก ถ้าน้องๆนึกภาพก็เหมือนเป็นหอหลังมหาลัยอะไรประมาณนั้นถ้ามาอยู่ก็จะเดินทางมาเรียนสะดวกครับ
York Institute : Melbourne เนี่ยขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดเมืองนึงในโลก ผู้คนที่นั่นและก็อากาศเป็นยังไงบ้างคะ
P’Oat Impact : อันนี้เดี๋ยวพี่โอ๊ตเล่าให้ฟังนะครับ
P’Oat Impact : Melbourne เป็นเมืองนึงอยู่ทางด้านใต้ของประเทศ Australia อยู่ด้านล่างสุดก็จะอยู่ใกล้ขั่วโลกใต้ อากาศที่นี่ก็จะหนาวถ้าน้องๆอยากหลบร้อนมาจากเมืองไทยมาใช้ชีวิตหนาวๆดูก็เลือกมาช่วงเดือนมิถุนา – สิงหาคม 3เดือนนี้จะเป็นหน้าหนาวที่นี่ กรกฏา จะเป็นช่วงที่หนาวที่สุดของปี
กันยา-พฤศจิกายน จะเป็นฤดูใบไม้ผลิจะเย็นๆไม่หนาวมากและไม่ร้อนมากอากาศจะอยู่ที่ สิบกว่าๆถึงยี่สิบกว่าองศา
แล้วก็ ธันวา-กุมภาพันธ์ จะเป็นซัมเมอร์ก็จะร้อนสุดๆช่วงหน้าร้อน ธันวา จะยังไม่ร้อนมาก พีคสุดจะเป็นช่วง มกรา ปลายๆ บางทีก็ สี่สิบกว่าองศาเลย
อากาศที่นี่บางทีร้อนก็ร้อนมากหนาวก็หนาวมาก น้องถ้าอยากมาเล่นสกีซีซั่นจะมีช่วง มิถุนา – สิงหาคม แต่หิมะไม่ตกในเมืองจะออกไปนอกเมืองนิดนึง ตามภูเขาก็จะมีสกีรีสอร์ทให้น้องไปเล่น แล้วพอหลังจาก มีนา – พฤษภาคม ก็จะเป็นฤดูใบไม้ร่วงอากาศจากอุ่นก็จะค่อยๆปรับลงไปเย็น นี่คืออากาศของ Melbourne นะครับ
P’Oat Impact : ส่วนผู้คน ก็อย่างที่พี่บอกว่า Melbourne ค่อนข้างเป็นเมืองที่ Multicultural City ผู้คนก็จะมีหลายเชื้อชาติมากบางทีเดินๆอยู่ในเมืองก็จะงงว่าแบบเห็นหน้าคนแล้วก็เดาไม่ออกว่า เขามาจากมุมในของโลก เพราะว่าคนที่นี่มาจากทั่วทุกมุมโลกเลย มาอยู่ที่ Melbourne ข้อดีและสเน่ห์อีกอย่างของที่นี่ก็คือการเหยียดสีผิวเหยียดเชื้อชาติก็จะไม่ค่อยมีเพราะคนจะคุ้นเคยกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมและภาษา ที่นี่แต่ละเดือนจะมีเฟสติวัลแทบทุกเดือน เดือนเมษาจะมีงานสงกรานต์เป็น ไทยเฟสติวัล ที่นี่จะมี Federal Square อยู่ในเมืองเขาจะคอยจัดงานพวกนี้ จะมี เจแปนเฟสติวัล ไชนีสเฟสติวัล เลบานีสเฟสติวัล จะมีเฟสติวัล ทุกเดือนครับ อันนี้จะเป็นสเน่ห์ของ Melbourne
P’Oat Impact : แต่ภาพรวมของ Melbourme พี่มองว่าเป็นเมืองที่ออกไปทางยุโรป มากที่สุด ในAustralia ถ้าเทียบกับเมืองอื่นๆ Brisbane เขาก็จะมีสเน่ห์ของเขาเป็นเมืองชายหาดมีความสวยงามทางชายหาดเป็นเมืองแห่งแสงแดด เขาเรียกว่า Sunshine State แต่ถ้าหากเราอยากจะสัมผัสความเป็นเมืองนอกหน่อย หนาวๆ ยุโรปๆก็ต้อง Melbourne น้องลองดูว่าชอบแบบไหน ผู้คนที่นี่ค่อนข้างเฟรนลี่ เพราะเราคุ้นเคยกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย เพราะฉนั้นพี่ชื่อว่านี่ทำให้ Melbourne เป็นเมืองที่หน้าอยู่ที่สุดมา 7 ปี ซ้อน แต่ว่าปีที่แล้วและปีนี้เราพลาดไปเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เดี๋ยวปีหน้าเราจะทวงคืน
ถามว่าทำไม Melbourne ถึงเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก คำว่าเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกไม่ได้หมายความว่าสวยที่สุดในโลก แต่เป็นเมืองที่มีความปลอดภัยสูงมีเรื่องอาชญากรรมต่ำ มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่าครองชีพและรายรับสมดุลกัน ระบบสาธารณสุข การแพทย์ คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย คือภาพรวมทั้งหมดที่เขาโหวต รวมถึงระบบสาธารณูปโภค การเดินทางขนส่งด้วย เลยทำให้ Melbourne เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกมาหลายปีซ้อน ประมาณนี้ครับ
P’Oat Impact : ส่วน Brisbane ถ้าใครชอบอาบแดด ใสบิกินี่ วันเสาร์อาทิต ดำน้ำดูปะการัง ก็จะเป็นแนวนั้น
P’Oat Impact : ถ้า Sydney ก็จะเป็นเมืองใหญ่ไปเลยแบบกรุงเทพประมาณนั้นมีความคึกคัก ผู้คนชอบปาร์ตี้ ถ้าชอบอะไรแนวนั้นก็ต้อง Sydney
P’Oat Impact : แต่ว่าพี่หลงรัก Melbourne ไม่กลับบ้านเลย 😉
York Institute : พอจะรู้กันแล้วใช่มั้ยคะน้องๆว่าความน่าอยู่ของ Melbourne เป็นยังไงฟังแล้วก็อยากไปกันเลยทีเดียวเนอะ ที่นี้เดี๋ยวเราจะพาไปดูโรงเรียนกันนะคะ
P’Oat Impact : พี่โอ๊ตต้องขออนุญาตินิดนึงว่า Impact คือ English Only เพราะฉนั้นเดี๋ยวพี่จะต้องพูดภาษาอังกฤษนะครับ เดี๋ยวจะพาไปดูบรรยากาศรอบๆ
P’Nat Impact : โรงเรียนเราจะมี 5 ชั้นนะคะที่ Melbourne
ด้วยเรื่องของ Covid 19 ตอนนี้ ภายในห้องเรียนเราจะจัดที่นั่งให้น้องๆเว้นระยะห่างและลดจำนวนที่นั่งต่อห้องน้อยลงนะคะปกติเราจะใช้ลิฟท์ แต่วันนี้พี่โอ๊ตจะใช้บัน ตอนนี้หน้าหนาวก็จะมืดเร็วนิดนึง ตอนนี้ข้างนอกก็จะมืดแล้ว ก็จะเห็นว่ามีป้าย English Only ติดอยู่ตลอดทั่วทั้งโรงเรียนเพราะฉนั้นน้องๆก็จะไม่หลุดเรื่อง English Only เรามีห้องคอมสำหรับน้องๆนะคะสามารถมาใช้ได้ตรงนี้สามารถเอากระดาษมาปริ้นท์ ได้ที่นี่เลยนะคะเรามีเครื่องปริ้นท์ เตรียมไว้ให้น้องๆ พอดีว่าตอนนี้น้องๆก็กำลังจะเลิกเรียนแล้วเราเลยจะรีบทำนิดนึง
P’Nat Impact : ตอนนี้พี่โอ๊ตมาที่ห้องพี่แนตแล้ว ห้องนี้จะเป็น ห้องสำหรับ Consult ที่พูดภาษาไทยได้และก็จะมีโต๊ะที่เป็นเจ้าหน้าที่ท่านอื่นที่จะพูดภาษาสเปน เกาหลี ซึ่งถ้านักเรียนมาห้องนี้ก็สามารถพูดภาษาของตัวเองได้
P’Oat Impact : เดี๋ยวพี่พาไปดูอีกชั้นนึงนะครับ จริงๆมีทั้งหมด 5 ชั้น แต่เดี๋ยววันนี้พี่พาไปดูแค่ 3 ชั้นก่อนเนอะ
York Institute : โอเคได้เลยค่ะ
P’Oat Impact : เดี๋ยวไปดูอีกชั้นนึงกันครับ เป็นชั้นที่สำคัญอีกชั้นนึงคือ ชั้น 5 จะมี Reception อยู่ที่ชั้นนี้
P’Oat Impact : และต่อไปเป็น Student lounge แต่ตอนนี้ปิดอยู่นะครับเพราะต้องเว้นระยะห่าง ชั้นนี้จะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆให้น้องๆได้มาใช้กัน ทั้งไมโครเวฟ อุ่นอาหาร ตู้เย็น โต๊ะนั่งทานอาหาร
P’Nat Impact : และมี Impresso café ด้วยเป็นคาเฟ่ของเราข้างในโรงเรียนน้องๆก็สามารถซื้อกาแฟได้ในโรงเรียนเลยนะคะในราคาแค่ 2 AUD และนี่จะเป็นห้องคอมนะคะทุกชั้นจะมีห้องครัวให้น้องๆได้ใช้หมดเลย ค่ะ ก็จะประมาณนี้ อันนี้ให้ดูคร่าวๆนะคะ
P’Nat Impact : ต่อไปจะเป็นที่ Brisbane นะคะ ก็จะเหมือนที่ Melbourne ก็จะมีห้องสมุดให้น้องๆสามารถมายืมได้มีห้องคอมให้มาใช้ได้เหมือนกันค่ะ น้องๆก็สามารถมานั่งทำการบ้านหรือหาข้อมูลได้ค่ะ ที่ Brisbane จะมี 3 ชั้นนะคะ จะเห็นได้ว่าน้องๆก็จะต้องนั่งห่างกัน และช่วงนี้เราจะใช้บันไดงดใช้ลิฟท์ ตามกฏการเว้นระยะห่าง ตอนนี้เราก็จะขอความร่วมมือน้องๆให้ใช้บันไดช่วงนี้ซึ่งน้องๆ ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ค่ะ
อันนี้จะเป็นห้องเรียนค่ะมีเดจลล้างมือให้ใช้นะคะ ส่วนตรงนี้เป็น lounge ซึ่งมีข่าวดีคือตอนนี้ที่ Brisbane เนี่ยตอนนี้สามารถเปิด ให้นักเรียนเข้ามานั่งทานข้าวและคาเฟ่ก็เปิดกลับมาปกติแล้วนะคะแต่ที่ Melbourne ก็ยังต้องรออีกนิดนึง ทั้ง 2 ที่เนี่ยก็จะมีอุปกรณ์ ตู้เย็น ไมโครเวฟให้น้องๆได้ใช้เหมือนกันนะคะแล้วเราก็เตรียมอุปกรณ์ในการล้างทำความสะอาด คอนเทนเนอร์ แก้วน้ำ ขวดน้ำของน้องๆไว้ให้ใช้นะคะจะได้ล้างทำความสะอาดกันก่อนกลับบ้านเวลาดูบางทีก็จะงงนะคะ ว่าที่นี่ Brisbane หรือ Melbourne เพราะทุกอย่างจะอยู่ในสีคุมโทนอยู่ใน สีเดียวกันเลย
อันนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งห้องเรียนนะคะ ตอนนี้ที่โรงเรียนทั้ง 2 ที่ก็ยังจะต้องควบคุมในเรื่องของการเว้นระยะห่าง 1.5 เมตร นะคะตอนนี้ก็อาจจะเป็นการเรียนแบบ New Normal ธรรมดาที่ไม่ธรรมดานิดนึงนะคะ แต่ว่าที่ Brisbane ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วจำนวนผู้ติดเชื้อก็ลดลงมาก อันนี้ก็คุณครูกำลังสอนอยู่เลยนะคะ
และนี่ก็จะเป็นห้องเรียนที่น้องๆ เรียนกันอยู่เลยนะคะ ก็จะเห็นว่าจะมีอุปกรณืทำความสะอาดก่อนเข้าห้องเรียนก็จะต้องล้างมือด้วยเจลล้างมือ และคุณครูก็จะมีการแจกกระดาษเปียกที่ทำความสะอาด นะคะและจะมีสเปรย์ตั้งไว้ให้น้องๆด้วยก่อนนั่งเนี่ยน้องๆก็จะทำความสะอาด ของตัวเองด้วย เรามีตรงนี้จัดเตรียมไว้ให้นะคะ จะเห็นว่าเก้าอี้นั่งที่ Brisbane จะดูเยอะกว่าที่ Melbourne แล้วเพราะที่ Brisbane เขาปลดล็อกดาวน์ ไปเยอะแล้ว ห้องเรียนก็จะเห็นว่าบรรยากาศข้างนอกมีพระอาทิตสดใสเลย
อ่านบทสัมภาษณ์ตอน 3 ต่อได้ที่ link ด้านล่างนี้เลยนะคะ